พระราชินีนาถ ทรงมีพระราชดำรัสในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา
พระราชินีมีพระดำรัสขอบคุณรัฐบาล ประชาชน ปีนี้ในหลวงทรงงานหนักเหมือนเมื่อหลายสิบปีไม่ได้ ทรงห่วงใยทุกภาคส่วน แนะนำป้องกันการแก้ปัญหาหลายด้าน
สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯ ทรงเสด็จลงศาลาดุสิดาลัย พระราชวังสวนจิตรลดา ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2552 ให้กับคณะบุคคล ประกอบด้วย ข้าราชการ ตำรวจ ทหาร ประชาชน และตัวแทนคณะองค์การกุศลต่างๆ จำนวน 15,865 คน
สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯ ได้ทรงมีพระราชดำรัส ว่า ข้าพเจ้าขอขอบคุณคณะรัฐบาล และท่านทั้งหลายที่เป็นผู้แทนของข้าราชการทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้แทนของราชการทุกหมู่เหล่าอ ทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร รัฐวิสาหกิจ และผู้แทนองค์กรทั้งหลาย ซึ่งทำหน้าที่ตลอดมา ช่วยเหลือในสังคมไทยให้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ ไปได้ด้วยดี ผู้แทนสถาบันการศึกษา และประชาชนจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมจำนวนประมาณ 160,000 คน ที่มาร่วมชุมนุมกันที่ศาลาดุสิดาลัยแห่งนี้ เพื่อร่วมอวยพรแก่ข้าพเจ้า เนื่องในโอกาสคล้ายวันเกดิดปีที่ 77
โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยกล่าวอวยพรด้วยใจความที่ทำให้ข้าพเจ้าอายุ 77 นี้เกิดกำลังวังชา เกิดกำลังใจในการช่วยเหลือประชาชนต่อไป หลายปีมานี้มีประชาชนอวยพรข้าพเจ้ามากขึ้นเป็นลำดับ ก็มีผู้มีที่มีน้ำใจหลายท่านเช่นเดียวกัน ได้นำอาหารมาช่วยข้าพเจ้าสำหรับเลี้ยงแขก ข้าพเจ้าขอบใจทุกท่าน และขอให้กุศลที่นำอาหารเลี้ยงประชาชนในครั้งนี้ ส่งให้ผู้ที่เป็นเจ้าภาพอาหารและน้ำดื่มทุกรายมีกินมีใช้มีเหลือแจกผู้อื่นเช่นนี้ต่อไป ในโอกาสนี้ข้าพเจ้าขอบใจท่านที่บำเพ็ญสาธาณะกุศล และสาธารณะประโยชน์เพื่อให้เป็นกุศลแก่ข้าพเจ้า เช่น คณะแพทย์ที่ผ่าตัดหัวใจช่วยเหลือประชาชนจำนวน 500 ราย และโครงการผ่าตัดหัวใจเด็กที่อยู่ในตามแนวตะเข็บชายแดนจำนวน 800 ราย
ซึ่งทั้งสองโครงการนี้จะเป็นโครงการต่อเนื่องไปจนกว่าข้าพเจ้ามีอายุ 80 ปี ขอขอบใจสภาสังคมสงเคราะห์ ที่ดำเนินโครงการน้ำพระทัยพระราชทานอย่างเข็มแข็งตลอดมา นอกจากนี้ยังมีผู้บวชพระ บวชเณร ปลูกต้นไม้ และจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ เพื่อเป็นเกียรติแก่ข้าพเจ้า และขอบใจผู้ที่ส่งบัตรอวยพรวันเกิดแก่ข้าพเจ้า ซึ่งก็มีเด็กนักเรียนรวมอยู่ด้วย และตลอดผู้ที่อวยพรแก่ข้าพเจ้าผ่านสื่อมวลชนทุกแขนง บ้างก็ประพันธ์บทร้อยแก้ว ร้อยกรอง อย่างไพเราะ บ้างก็รำอวยพร ซึ่งข้าพเจ้าได้ชมแล้วก็ทราบซึ้งในน้ำใจไมตรีอย่างยิ่ง
ขณะนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และข้าพเจ้าอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน ที่นั่นอากาศดีเหมาะกับพระสุขภาพของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ท่านสบายดีขึ้น ทรงพยายามออกพระกำลังโดยทรงพระดำเนินที่เฉลียงทุกวัน ทำให้แข็งแรงขึ้น เพราะปีนี้จะมีอายุ 82 แล้ว ได้ทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจได้ดังที่ประชาชนเห็นในข่าวโทรทัศน์ เช่นเสด็จทรงออกรับแขกบ้านแขกเมือง หรือมีคณะบุคคลต่างๆ มาเฝ้า บางครั้งก็ทรงเสด็จออกไปทอดพระเนตรโครงการอะไรใกล้หัวหินบ้าง จะให้ตากตำหรือตากแดดตากฝนทั้งวัน เหมือนที่ทรงงานมาแล้วหลายสิบปีก่อนคงไม่ไหว
หลายสิบปีก่อนทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนทุกภาคของประเทศ ทรงขับรถเอง หนทางเรียกว่ากันดารไม่ใช่น้อย บางครั้งก็ทรงขับรถข้ามแม่น้ำที่จังหวัเนราธิวาส เพื่อต้องการเห็นความเป็นอยู่ของประชาชนตามเขตชายแดนต่างๆ แต่พระองค์ท่านทรงติดตามต่างๆ ตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องฝน เรื่องปริมาณน้ำในเขื่อนทรงมีความเป็นห่วงประชาชนเกรงว่าจะมีน้ำท่วมอีก เพราะพอจะหาแนวทางอะไรช่วยป้องกันได้ ก็จะมีพระราชดำริให้เตรียมการกันเอาไว้ก่อน ประเทศไทยของเราเป็นประเทศเกษตรกรรม คนไทยส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาทำไร่ ทำสวนเลี้ยงสัตว์ การพาะปลูกของชาวนาชาวไร่ที่ไม่ได้อยู่ในเขตของชลประทานต้องพึ่งพาฝนฟ้าจากธรรมชาติเป็นหลัก ปีใดฝนดีผลผลิตก็ดี ปีใดฝนแล้งพืชก็แห้งตาย ฝนมากไปน้ำก็ท่วม ปัญหาของแต่ละภาคไม่เหมือนกัน ภาคเหนือเป็นดอยสูงสลับซับซ้อน มีชาวเขาหลายเผ่าอาศัยอยู่ ดั่งเดิมเขาก็ปลูกฝิ่นอ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะทำมาหากินอะไร หรือบางครั้งทำไร่เลื่อนลอย ทำให้เกิดปัญหายาเสพติด และป่าไม้ถูกทำลาย
ในบางครั้งชาวเขาก็กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเองว่า เมื่อพ่อปลูกฝิ่นไม่ดี เขาก็จะทำตาม เขาจะเลิกปลูกฝิ่น จะเพาะปลูกอย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯส่งผู้เชี่ยวชาญไปสอน แต่เขาก็ขออนุญาตพ่อได้มั๊ย ที่จะปลูกฝิ่นไว้สักนิดนึง เขาบอกว่าปวดฟันปวดท้องมันนานกว่าที่จะลงไปหาหมอที่ข้างล่าง ถ้าเขามีฝิ่นเวลาปวดฟันเขาเสพฝิ่นสักหน่อยนึงก็ค่อยยังชั่ว พระเจ้าอยู่หัวฯทรงอนุญาตให้ปลูกฝิ่นไว้เล็กน้อยเพื่อแก้เจ็บปวดเท่านั้น
ส่วนที่ภาคอีสานเป็นพื้นที่ราบสูง ปัญหาใหญ่คือการขาดแคลนน้ำที่จะใช้พาะปลูก และดินเป็นดินทราย ภาคใต้มีฝนตกชุกแทบทั้งปี แต่เนื่องพื้นที่มีทะเล และภูเขา ดินก็เป็นดินพุ (ยังมีต่อ)