ธนาธร ไลฟ์จวกกองทัพพาณิชย์ ไม่พบปฏิรูป แม้อภิรัชต์เคยหลั่งน้ำตาสัญญายกเครื่องใน 90 วัน

ธนาธร ไลฟ์จวกกองทัพพาณิชย์ ไม่พบปฏิรูป แม้อภิรัชต์เคยหลั่งน้ำตาสัญญายกเครื่องใน 90 วัน

ธนาธร ไลฟ์จวกกองทัพพาณิชย์ ไม่พบปฏิรูป แม้อภิรัชต์เคยหลั่งน้ำตาสัญญายกเครื่องใน 90 วัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วันนี้ (22 พ.ค.) เวลาประมาณ 20.00 น. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะสมาชิกคณะก้าวหน้า ไลฟ์ผ่านเพจเฟซบุ๊กในชื่อตนเอง ภายใต้หัวข้อ "6 ปีรัฐประหาร 90 วันปฏิรูปกองทัพ ได้เวลาทวงสัญญาประชาชน"

ทั้งนี้ เนื้อหาการไลฟ์ตลอดช่วงเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนั้น เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงช่วงเวลาตลอด 6 ปีที่ผ่านมา คณะรัฐประหารและรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่ายิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น และทำให้ประเทศพัฒนาไม่ทันนานาชาติและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป

อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ความล้มเหลวของการบริหารประเทศ และการใช้อำนาจกดขี่ในกองทัพ ฉายภาพชัดเจนเมื่อเกิดเหตุการณ์กราดยิงบริเวณศูนย์การค้าใน อ.เมืองนครราชสีมา เมื่อวันที่ 8 ก.พ. และหลังจากนั้น พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก สัญญาว่าจะนำบทเรียนจากเหตุการณ์นี้มาใช้ และเปลี่ยนแปลงกองทัพให้ดีขึ้นภายใน 90 วัน แต่จนถึงขณะนี้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างจำกัด

นายธนาธร เล่าสาเหตุของการกราดยิงว่า เกิดจากความไม่เป็นธรรมที่ทหารที่มียศสูงกว่าหาประโยชน์จากทหารที่มียศต่ำกว่า โดยระบุว่า ผู้ก่อเหตุ ซึ่งมียศเป็นจ่าสิบเอก ต้องการมีบ้านแต่ขาดแหล่งเงินกู้ จึงต้องพึ่งพาผู้พันซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาให้เซ็นรับรอง แต่มีเงื่อนไขว่าต้องนำไปซื้อบ้านกับบริษัทของแม่ยายของผู้พัน และภายหลังพบว่าบ้านราคา 1.1 ล้านบาท มีต้นทุนเพียงประมาณ 700,000 บาท เท่ากับว่าเงินที่ควรจะประหยัดได้ 400,000 บาท เข้าสู่กระเป๋าของครอบครัวผู้พันรายนั้น จนนำมาสู่ความโกรธแค้น

อย่างไรก็ตาม ความโกรธแค้นนั้นนำมาสู่การสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก ที่สะเทือนใจคนในสังคมอย่างยิ่ง จนนำมาสู่กระแสการกดดันให้กองทัพรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

ทำไมไม่เปิดประมูลสิทธิบริหารสวนสนประดิพัทธ์?

เหตุนี้ทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ ต้องกล่าวกับสาธารณชนว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งยังร้องไห้ไปด้วยขณะพูด ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็กล่าวเช่นกันว่าจะสังคายนาความไม่เป็นธรรมต่างๆ ในกองทัพ ในฐานะที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกตำแหน่งหนึ่ง ไม่ใช่แค่นั้น พล.อ.อภิรัชต์ ยังสัญญาว่าจะเปิดให้เอกชนที่มีความเชี่ยวชาญมีส่วนร่วมกับการบริหารสินทรัพย์ในกองทัพด้วย อย่างเช่น โรงแรมและสนามกอล์ฟประดิพัทธ์ ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ภายใน 90 วันหลังจากเกิดเหตุกราดยิง

ไม่ใช่แค่นั้น สมาชิกคณะก้าวหน้ารายนี้ยังอ้างอิงข่าวจากเว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจว่า ในช่วงเดือนเมษายน 2563 กองทัพบกจะมีการนำร่องด้วยการให้เครือโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งเข้าบริหารโรงแรมสวนสนประดิพัทธ์ แต่เลือกให้บริหารจัดการโดยใช้อำนาจจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ไม่จำเป็นต้องประมูล ซึ่งไม่น่าจะโปร่งใส เท่ากับใช้ระเบียบกระทรวงการคลัง และตั้งคำถามว่าแนวทางไหนรัฐจะได้ผลประโยชน์มากกว่า เหตุใดกองทัพจึงไม่เปิดประมูลสิทธิการเข้าบริหารจัดการ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจสอบได้

นายธนาธร ระบุอีกว่า เมื่อไม่นานมานี้ ตนยังมีโอกาสไปใช้บริการที่สนามกอล์ฟด้วย แต่ไม่พบว่ามีเอกชนมาบริหารอย่างที่เป็นข่าว ซึ่งตนคุยกับพนักงานที่ทำงาน ได้ความว่าติดปัญหาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทำให้ล่าช้าออกไป

ปล่อยให้เอกชนแค่บางกลุ่มหาประโยชน์จาก บอล-มวย

ประเด็นต่อมา นายธนาธร กล่าวถึงบริษัท อาร์มี่ ฟุตบอล จำกัด ที่บริหารสโมรสรอาร์มี่ ยูไนเต็ด ว่ามีการจัดตั้งเป็นบริษัทเพื่อเข้าร่วมในลีกฟุตบอลอาชีพของไทย หลังจากก่อตั้งลีกเมื่อปี 2552 และทำกำไรมาตั้งแต่ปี 2553 อย่างไรก็ตาม ในรายชื่อผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัท อาร์มี่ ฟุตบอล พบว่าเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งนายธนาธรตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ถือหุ้นเหล่านี้บริหารเวลาระหว่างงานในกองทัพและบริหารบริษัทเอกชนอย่างไร และแบ่งผลประโยชน์ที่ทำให้ประเทศและบริษัทที่ตนถือหุ้นอย่างไร ทั้งยังรับเงินเดือน 2 ทางด้วยหรือไม่

แกนนำคณะก้าวหน้า มองว่า การทำให้เส้นแบ่งระหว่างเรื่องของรัฐและเรื่องส่วนตัวไม่ชัดเจนแบบนี้ จึงเป็นช่องว่างให้ทหารยศสูงหลายคนใช้หาประโยชน์เข้าตัวเอง นอกจากนี้ นายธนาธร เผยอีกว่า ต้นทุนทุกอย่างของสโมสรตกอยู่ที่ภาครัฐ แต่เมื่อบริษัทมีกำไร มีการจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น เงินไม่ได้เข้าสู่รัฐ แต่เข้าสู่เอกชน จึงขอตั้งคำถามไปยัง พล.อ.อภิรัชต์ ว่าจะทำอย่างไรกับดังกล่าว

ขณะที่สนามมวยลุมพินีนั้น ขณะนี้มีผู้บริหารเป็นนายทหารยศสูงทั้งสิ้น และให้สิทธิการถ่ายทอดสดแก่บริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งนายธนาธรมองว่าไม่ชอบมาพากลจากการที่ไม่พบการประมูล และสัญญาดังกล่าวจะหมดลงในเดือน ก.ค. ปีนี้ ถ้าหาก พล.อ.อภิรัชต์ สัญญาว่าจะปฏิรูปจริง จะมีการประมูลหรือไม่

นอกจากนี้ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ยังกล่าวถึงปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งที่เปิดให้บริการในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงสนามมวยลุมพินี และพบว่าเลขผู้เสียภาษีของร้านค้าสวัสดิการในปั๊มน้ำมันที่ว่านี้ ที่ดูคล้ายกับร้านสะดวกซื้อเครือดัง เป็นเลขผู้เสียภาษีของ "คณะบุคคลคณะหนึ่ง" ซึ่งมีชื่อของนายทหารคนหนึ่งเป็นเจ้าของ

ดังนั้น นายธนาธร จึงอธิบายว่าการเป็นคณะบุคคลก็คือเอกชนรูปแบบหนึ่ง ทำไมจึงปล่อยให้เอกชนหรือกลุ่มคนเพียงบางกลุ่มใช้พื้นที่ของรัฐมาแสวงหาประโยชน์หรือกำไร แล้วแบบนี้ผลประโยชน์ของรัฐจะอยู่ที่ใด

บ้านพักนายพล-ปืนสวัสดิการ ยังตรวจสอบไม่ได้

หลังจากนั้น นายธนาธร กล่าวถึงประเด็นที่ พล.อ.อภิรัชต์ เคยกล่าวถึงว่าจะปฏิรูปนั่นคือ เรื่องบ้านพักนายพล และเรื่องปืนสวัสดิการ แต่เจ้าตัวกล่าวในระหว่างที่ถ่ายทอดสดผ่านเพจเฟซบุ๊กว่าพยายามจะหาข้อมูลและทำการตรวจสอบในทั้งสองประเด็นดังกล่าวแล้ว แต่ก็ไม่มีข้อมูลใดๆ ให้ตรวจสอบได้

รวมไปถึงที่เคยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวสอบข้อเท็จจริงกรณีที่กำลังพลมีการดำเนินธุรกิจในค่ายทหารนั้น ก็ยังไม่พบว่ามีการเปิดเผยรายงานข้อเท็จจริงหรือผลการตรวจสอบแต่อย่างใด

ปลุกประชาชนร่วมผลักดันปฏิรูปกองทัพให้สำเร็จ

ในช่วงท้ายของการไลฟ์ นายธนาธร เรียกร้องให้ประชาชนร่วมกันผลักดันให้เกิดการปฏิรูปกองทัพให้สำเร็จให้ได้

"นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เนื่องจากมีเสียงสนับสนุนมากมายที่จะผลักดันให้เกิดการปฏิรูปกองทัพได้สำเร็จ หากเราหยุดกองทัพพาณิชย์ได้ ถ้าเราเอาการพาณิชย์ออกจากกองทัพได้ พวกเขาจะไม่มีแรงจูงใจให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีก" นายธนาธร ระบุ

ทั้งนี้ นายธนาธร ยังเปิดเผยข้อมูลทรัพย์สินของบรรดานายพลที่อยู่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งเป็นข้อมูล ณ เดือน พ.ค. 2562 ที่ระบุว่า มีทรัพย์สินรวมกัน 6,319 ล้านบาท เฉลี่ยแล้วอยู่ที่คนละ 78 ล้านบาท

ก่อนที่ผู้ก่อตั้งคณะก้าวหน้าจะเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนติดตามและเรียกร้องคำสัญญาของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ที่ว่าจะปฏิรูปกองทัพ รวมไปถึงข้อเสนอของอดีตพรรคอนาคตใหม่ที่สนับสนุนให้ออก พ.ร.บ.ยกเลิกเกณฑ์ทหารแบบบังคับ ให้เหลือแต่การเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจเท่านั้น และ พ.ร.บ.แก้ไขวินัยการเงินคลัง มาตรา 61 (3) เนื่องจากมีการให้อำนาจกระทรวงกลาโหมบริหารจัดการเงินนอกงบประมาณเป็นจำนวนมาก อย่างเช่นในปีงบประมาณ 2561 เป็นเงินถึงกว่า 18,500 ล้านบาทเลยทีเดียว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook