หนุ่มหนีคดีฉ้อโกง รอดมาได้ 14 ปี สุดท้ายถูกจับเพราะขับรถเร็ว

หนุ่มหนีคดีฉ้อโกง รอดมาได้ 14 ปี สุดท้ายถูกจับเพราะขับรถเร็ว

หนุ่มหนีคดีฉ้อโกง รอดมาได้ 14 ปี สุดท้ายถูกจับเพราะขับรถเร็ว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วันที่ 22 พฤษภาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ งามแฉ่ง สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 3 กองกำกับการ 2 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้สั่งการให้ ร.ต.อ.คมสัน วรรณสกุล รอง สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจทางหลวงประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วย ร.ต.อ.สมควร หิรัญเนตร สว.(ป.) , ด.ต.สมโภชน์ รงค์วราโภชน์ , ด.ต.พิสิษฐ์ กิมเฮง , ด.ต.ธวัชชัย กระโห้ทอง , ด.ต.กมล กิ่งทอง , ด.ต.ชัยยา พระวังก่ำ , ด.ต.ปรีชา ทัศนา , ด.ต.สันติ สัตยาบรรพ , ด.ต.สุวิท คงวิจิตร , ด.ต.กายวัฒน์ เกษมวัฒน์ ผบ.หมู่ ส.ทล.3 กก.2 บก.ทล. ตั้งจุดตรวจจับความเร็วบนถนนบายพาสชะอำปราณบุรี เพื่อป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถิ่นและป้องกันเหตุอาญชากรรมในพื้นที่ บนถนนหลวงหมายเลข 37 สายบายพาสชะอำปราณบุรี กิโลเมตรที่ 27 ขาล่องใต้ ต.หินเหล็กไฟ อ .หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

โดยขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตั้งจุดตรวจ พบรถยนต์ส่วนบุคค ยี่ห้อฮอนด้า สีดำ ขับมุ่งหน้าไปพื้นที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่ารถคันดังกล่าว ฝ่าฝืนป้ายจำกัดความเร็ว จึงได้ส่งสัญญาณให้รถคันดังกล่าวหยุดรถเพื่อทำการตรวจสอบและแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบและทำการ ออกใบสั่งให้แก่ผู้ขับขี่ ทราบชื่อต่อมาคือ นายชลิต (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 32 ปี ชาวบ้าน อ.เมือง จ.พิษณุโลก

ทั้งนี้ขณะจับกุม นายชลิต มีท่ามีพิรุธสงสัย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการตรวจสอบชื่อและข้อมูลส่วนบุคคล กับระบบสารสนเทศของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ระบบ CRIMES ON MOBILE และระบบ POLICE เพิ่มเติม ทำให้พบว่า นายชลิต เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัด แขวงพระนครเหนือ ที่ จ.77/2558 ลงวันที่ 29 มกราคม 2558 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงแสดงหมายจับให้ นายชลิต ดู ซึ่งรับว่าข้อมูลส่วนบุคคลตรงกันกับชื่อผู้ต้องหาในหมายจับจริง แต่ขอให้การปฏิเสธและยังไม่เคยถูกดำเนินคดีตามหมายจับนี้มาก่อน โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหาและนำตัวมาที่ หน่วยบริการตำรวจทางหลวงหัวหิน เพื่อทำบันทึกการจับกุม ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สำหรับคดีฉ้อโกงดังกล่าวสื่บเนื่องจาก เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2557 นางสุภาวดี (ขอสงวนนามสกุล) พร้อมกับพวก รวม 17 คน ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ให้ดำเนินคดีกับ น.ส.สุวรรณา (ขอสงวนนามสกุล) กับพวก ผู้ต้องหา ในความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกง" กรณี ผู้ต้องหากับพวกได้ร่วมกันหลอกลวง ผู้กล่าวหา กับพวก ให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออกสินค้าประเภทอะไหล่รถจักรยานยนต์, ยางรถจักรยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ไปขายยังประเทศมัลดีฟ และจะได้ผลตอบแทน 10 เปอร์เซ็นต์จากจำนวนเงินที่ลงทุน ผู้กล่าวหากับพวกหลงเชื่อมอบเงินร่วมลงทุนให้ไปหลายครั้งรวมเป็นเงิน 14,451,140.- บาท ต่อมาเมื่อครบกำหนด พบว่าไม่มีการโอนเงินคืนมาให้ผู้กล่าวหากับพวก แต่อย่างใด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook