แพทย์ไล่เหตุการณ์ชัดๆ น้องอมยิ้ม-น้องอิ่มบุญ มีอาการคล้ายดื่มน้ำยาล้างห้องน้ำ
วันนี้ (25 พ.ค.) รศ.นพ.พฤหัส ต่ออุดม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ พร้อมด้วย ดร.ขนิษฐา บูรณพันศักดิ์ หัวหน้างานสังคมสงเคราะห์ ร่วมกันแถลงข่าวและเปิดเผยไทม์ไลน์การรักษาพยาบาลกรณีของ น้องอมยิ้ม และ น้องอิ่มบุญ ที่เข้ามารักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาล
โดยระบุว่า น้องอิ่มบุญ มาที่ รพ.ครั้งแรก เข้ารักษาตัวระหว่างวันที่ 13-23 มกราคม 2563 ในหอผู้ป่วยพิเศษ โดยน้องมาด้วยอาการอาเจียนเป็นเลือด จากการซักประวัติแม่ปุ๊ก ทราบว่าเมื่อ 10 วันก่อนเข้ารับการรักษา น้องมีการอาเจียนเป็นเลือดหลังจากกินปลาหมึกย่าง จึงต้องเข้ารักษาที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่งใน จ.อุบลราชธานี เมื่อน้องเข้ารับการรักษา ทาง รพ. ก็ซักประวัติ ตรวจเพิ่มเติม และส่องกล้องหาสาเหตุที่อาเจียนออกมาเป็นเลือดสีดำ ที่บริเวณหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร จึงพบว่ามีการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร
ทั้งนี้ ทาง รพ. จึงรักษาน้องจนอาการดีขึ้น สามารถรับประทานอาหารได้ กระทั่งวันที่ 23 มกราคม 2563 น้องมีอาการทรุดในลักษณะที่คล้ายเดิม คือ ปวดท้องกะทันหัน อาเจียนเป็นเลือด ปากบวม อุจจาระเหลวสีดำ ซึ่งถือว่าอาการอยู่ในระดับวิกฤต แพทย์จึงต้องย้ายน้องเข้ามารักษาที่ห้องไอซียู จากนั้นทำการส่องกล้องซ้ำที่กระเพาะอาหาร ก็พบว่ามีแผลอักเสบรุนแรง ซึ่งครั้งนี้ทำให้ทางทีมแพทย์เริ่มสงสัยว่าร่างกายของน้อง น่าจะได้รับสารกัดกร่อน
เบื้องต้น ทีมแพทย์จึงทำการรักษาไปจนถึงต้นเดือนเมษายน จนน้องออกจากห้องไอซียู กลับมารักษาที่หอผู้ป่วยพิเศษ และเมื่อออกมาได้ไม่นาน อาการของน้องก็ทรุดและดี สลับกัน ทางทีมแพทย์จึงเริ่มสงสัยอาการที่ไม่สอดคล้องกับการรักษา และเริ่มจำกัดการเข้าเยี่ยม ในระยะเวลาประมาณ 1 เดือนครึ่ง โดยไม่อนุญาตให้นำอาหารเข้ามาเยี่ยม ประกอบกับเวลาที่แม่ปุ๊กเข้าเยี่ยม ก็จะมีทีมแพทย์คอยอยู่ด้วยตลอดเวลา
กระทั่งวันที่ 14 พฤษภาคม น้องอาการดีขึ้น กำลังจะเตรียมตัวกลับ ทางทีมแพทย์จึงแจ้งกับทางแม่ปุ๊กว่าให้น้องอยู่ที่โรงพยาบาลไว้ก่อน เพื่อประวิงเวลา ขณะที่หมออีกทีมหนึ่งก็ไปประสานกับทางกระทรวง พม. เพื่อให้มารับตัวน้องในวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 โดยอาการของน้องอิ่มบุญหลังออกจากโรงพยาบาล ก็จะมีภาวะแทรกซ้อน มีอาการเสียงแหบ เหนื่อยง่ายเวลาเล่นเพราะมีการอักเสบทางปอด ซึ่งหลังจากนี้จะมีการผ่าตัดที่คอเพื่อรักษาต่อไป
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาในระหว่างที่รักษาตัวน้องอิ่มบุญนั้น แม่ปุ๊กจะคอยดูแลน้องอย่างใกล้ชิด และเป็นคนที่ป้อนอาหารน้องเกือบทุกครั้ง เนื่องจากเป็นผู้ป่วยเด็ก ส่วนการตั้งข้อสังเกตของทีมแพทย์นั้น ทางแพทย์รู้สึกว่า ถ้าเป็นการแพ้ อาการเมื่อไม่ได้รับเชื้อนั้นแล้ว ก็จะทุเลาเบาลงและหายไป แต่ปรากฏว่าในกรณีของเด็กทั้งสองคนนี้ แม้ว่าจะไม่ได้รับอาหารชนิดนั้นแล้ว อาการก็ยังคงทรุดอยู่ ทำให้ทีมแพทย์คาดว่า น่าจะเกิดจากการแพ้สารเคมีบางชนิดที่ไม่ใช่อาหาร ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อน และเกิดขึ้นเฉพาะจุดของร่างกาย บริเวณที่เป็นระบบทางเดินอาหาร ตั้งแต่ปาก ไปจนถึง กระเพาะอาหาร
ขณะที่ในส่วนของ น้องอมยิ้ม นั้น น้องได้เข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2561 มีการรักษาอยู่ประมาณ 8 เดือน ก่อนที่จะเสียชีวิตในวันที่ 12 สิงหาคม 2562 โดยมีการเข้าออกโรงพยาบาลรวม 7 ครั้ง ภาพรวมมีอาการคล้ายกันกับ น้องอิ่มบุญ
โดย น้องอมยิ้ม จะมีอาการเลือดออกจากทางเดินอาหาร ทำให้ต้องส่องกล้อง จากการตรวจสอบพบว่ามีอาการอักเสบตามเยื่อบุต่างๆ ซ้ำไปซ้ำมา และมีความดันโลหิตสูงมาก ก่อนที่ต่อมาน้องจะเสียชีวิตด้วยภาวะตับและไตวาย ซึ่งน่าจะเกิดจากการที่มีภาวะแทรกซ้อนหลายโรคและต้องรักษาตามอาการโดยการให้ยา
ซึ่งที่ผ่านมา ในกรณีของผู้ป่วยที่พยายามฆ่าตัวตายด้วยการดื่มน้ำยาล้างห้องน้ำที่มีสารกัดกร่อน จะมีลักษณะแผลใกล้เคียงแผลของน้องทั้งสองคน แต่อย่างไรก็ตาม อาการของน้องอิ่มบุญและน้องอมยิ้มนั้น ทางทีมแพทย์ไม่เคยพบมาก่อน
ส่วนเรื่องค่ารักษาพยาบาลของน้องทั้งสองคน เป็นการรักษาตามสิทธิของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช., กองทุนช่วยเหลือผู้ป่วยเด็ก และ กองทุนสังคมสงเคราะห์ของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ โดยค่าใช้จ่ายของน้องอมยิ้มทั้งหมด อยู่ที่ประมาณเกือบ 5 แสนบาท ส่วนของน้องอิ่มบุญ ค่าใช้จ่ายเกือบ 2 แสนบาท โดยทั้งสองคนนี้มีค่าส่วนต่างที่ต้องจ่ายเพิ่มอยู่ที่หลักพันเท่านั้น ส่วนสารเคมีที่เด็กทั้งสองคนได้รับ ขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบ จึงอยากจะให้รอผลที่ชัดเจนจากพนักงานสอบสวน เนื่องจากหลายประเด็นมีผลกระทบต่อรูปคดี
กองปราบเร่งสาวคดี ”แม่ปุ๊ก” อุบสอบใครเพิ่ม
ทางด้าน พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผู้บังคับการกองปราบปราม เปิดเผยความคืบหน้าคดีแม่ปุ๊กวางยาลูก 2 คนเพื่อหลอกรับเงินบริจาค ว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดพยานหลักฐานต่างๆ ที่พบในบ้านพัก ตั้งแต่ภาชนะ และเครื่องใช้เด็ก ไปจนถึงสารต้องสงสัยทั้งหมด และส่งไปยังกองพิสูจน์หลักฐานและกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อให้ตรวจพิสูจน์เรื่องสารพิษแล้ว แต่ยังไม่ทราบผลตรวจ ซึ่งทางตำรวจก็จะมีการเร่งรัดผลตรวจอีกครั้ง
ขณะที่ พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผู้กำกับการกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม เปิดเผยภายหลังการเรียกประชุมชุดสืบสวนสอบสวน โดยระบุว่า ขณะนี้ตำรวจสอบปากคำพยานแวดล้อมไปแล้วหลายปาก และคดีมีความคืบหน้าเกินร้อยละ 50 แต่ยังต้องตรวจสอบพยานหลักฐานทุกอย่างที่ได้รับมา จึงยังไม่สามารถตอบได้ว่าอะไรคือข้อเท็จจริง แต่ยืนยันว่าคณะทำงานกำลังเร่งดำเนินการทุกขั้นตอนอย่างเต็มที่ ตนเองจึงอยากขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงาน