แฉพฤติกรรม แม่ปุ๊ก สุดเลือดเย็น! คำร้องฝากขังเผยวางยาในอาหาร-ป้อนลูกเองกับมือ

แฉพฤติกรรม แม่ปุ๊ก สุดเลือดเย็น! คำร้องฝากขังเผยวางยาในอาหาร-ป้อนลูกเองกับมือ

แฉพฤติกรรม แม่ปุ๊ก สุดเลือดเย็น! คำร้องฝากขังเผยวางยาในอาหาร-ป้อนลูกเองกับมือ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วันนี้ (25 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานเกี่ยวกับคำร้องขอฝากขัง นางสาวนิษฐา หรือ แม่ปุ๊ก ผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหาว่า วางยาลูก 2 คน จนเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัส โดยมีเนื้อหาโดยสรุปว่า แพทย์และพยาบาลที่ทำการรักษาพบว่า เมื่อนางสาวนิษฐามาเยี่ยมไข้ ได้นำอาหารมาให้น้องยิ้มและน้องอิ่มบุญกิน แล้วมีอาการทรุดหนัก ปากบวมมีเลือดออกที่ปากและจมูก รวมทั้งมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นมากมาย

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2563 พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ได้รับตัว นางสาวนิษฐา อายุ 29 ปี เพื่อดำเนินคดี โดยกล่าวหาว่า รับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ, พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย, ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น และฉ้อโกงประชาชน

พฤติการณ์คือ เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2563 นางสาวเอม (มารดาแท้ๆ ของน้องยิ้ม) ซึ่งเป็นผู้กล่าวหา ได้มาร้องทุกข์ที่กองบังคับการปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับนางสาวนิษฐา โดยแจ้งว่าเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2558 ได้ถูกผู้ต้องหา หลอกลวงว่าจะขอรับอุปการะเลี้ยงดูบุตรของนางสาวเอม ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ โดยหลอกลวงให้หลงเชื่อว่าผู้ต้องหาเป็นผู้มีฐานะดีมีอาชีพการงานที่มั่นคงโดยอ้างว่าเป็นเภสัชกร เมื่อนางสาวเอมคลอดบุตรแล้ว ชื่อว่า น้องยิ้ม ผู้ต้องหาได้มารับตัวน้องน้องยิ้มที่โรงพยาบาลนครสวรรค์ประชารักษ์ เพื่อนำไปดูแล

ต่อมา ผู้ต้องหาได้แจ้งว่าน้องยิ้มมีอาการป่วย มีความจำเป็นต้องทำประกันสุขภาพ จึงหลอกลวงให้นางสาวเอมทำการเปิดบัญชีธนาคารทหารไทย จำนวน 1 บัญชี และผู้ต้องหาได้เปิดบัญชีธนาคารทหารไทย อีกจำนวน 2 บัญชี เป็นชื่อบัญชีของนางสาวเอม ปรากฏว่า ผู้ต้องหาได้นำบัญชีธนาคารดังกล่าวไปใช้ในการแสวงหาประโยชน์โดยอ้างว่าเป็นมารดาของน้องยิ้ม ที่ป่วยด้วยโรค “เรนินโนม่าห์” และใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณารับบริจาคเงินผ่านเว็บไซต์ต่างๆ ทั้งบริจาคเงินโดยตรงและในรูปแบบของการซื้อสิ่งของ เช่น เครื่องมือแพทย์ เครื่องมือวัดไข้ จนมีผู้หลงเชื่อโอนเงินบริจาคเข้าบัญชีธนาคารตามที่กล่าวมาข้างต้นจำนวนมาก

จากนั้น นางสาวนิษฐา ได้แจ้งกับนางสาวเอม ว่า น้องยิ้มป่วยหนักเข้าทำการรักษาตัวที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และในวันที่ 12 สิงหาคม 2562 น้องยิ้มได้เสียชีวิต ในระหว่างที่รักษาตัวจนถึงเสียชีวิต ผู้ต้องหาห้ามไม่ให้นางสาวเอมเข้ามาเยี่ยมดูอาการไข้และไม่ให้ไปร่วมงานศพ โดยอ้างว่าสามารถดูแลได้และไม่อยากเห็นหน้านางสาวเอม เนื่องจากมีหน้าตาคล้ายกับน้องยิ้ม หากเห็นแล้วจะมีความคิดถึง นางสาวเอมหลงเชื่อจึงไม่ได้ไปเยี่ยมไข้และไม่ได้ไปร่วมงานศพแต่อย่างใด

จากการสืบสวนพบว่า ผู้ต้องหาได้รับอุปการะเลี้ยงดูน้องยิ้มจริง และอ้างว่ามีบุตรชายอีก 1 คนชื่อ น้องอิ่มบุญ อายุ 2 ขวบเศษ ไม่ปรากฏชื่อของบิดา และมีพฤติกรรมฉ้อโกงหลอกลวงขายสินค้าเครื่องมือแพทย์ พบว่ามีเงินหมุนเวียนในบัญชีธนาคารดังกล่าวจำนวนถึง 20 ล้านบาท ในช่วงระยะเวลาเพียง 2 ปี โดยเงินดังกล่าวผู้ต้องหาเป็นผู้นำไปใช้ประโยชน์ทั้งหมด

จากการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ แพทย์ที่เป็นผู้ทำการรักษาอาการเจ็บป่วยของน้องยิ้มและน้องอิ่มบุญ พบว่า ทั้งน้องยิ้มและน้องอิ่มบุญ ได้รับสารพิษประเภท “สารกัดกร่อน” ซึ่งเป็นกรดหรือด่างเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งคล้ายคลึงกับผู้ป่วยที่ดื่มสารพิษประเภทน้ำยาล้างห้องน้ำไฮเตอร์เพื่อฆ่าตัวตาย

จากการเฝ้าดูอาการของแพทย์และพยาบาลผู้ทำการรักษาพบว่า เมื่อนางสาวนิษฐามาเยี่ยมไข้ ได้นำอาหารมาให้น้องยิ้มและน้องอิ่มบุญกิน แล้วมีอาการทรุดหนัก ปากบวมมีเลือดออกที่ปากและจมูก รวมทั้งมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นมากมาย

โดยทุกครั้งเมื่อเด็กมีอาการเจ็บปวดทุกข์ทรมาน นางสาวนิษฐาจะถ่ายรูปถ่ายทอดสดเพื่อนำไปโฆษณาแสวงหาประโยชน์เรียกรับเงินบริจาคแก่ผู้มีจิตเมตตาสงสารทุกครั้ง แพทย์ผู้ทำการรักษา ฝ่ายกฎหมาย และนักสังคมสงเคราะห์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว จึงเชื่อว่านางสาวนิษฐาเป็นผู้ให้สารพิษประเภทสารกัดกร่อนเข้าสู่ร่างกายด้วยการกิน เพื่อให้น้องยิ้มและน้องอิ่มบุญมีอาการเจ็บป่วยทุกขเวทนาน่าสงสาร แสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ผู้ต้องหาเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook