เมียอดีต รอง ผบก.น.9 ผูกคอตาย ข้างบ้านได้ยินเสียงศพตกพื้น กลิ่นเหม็นเน่าโชย
เมียอดีต รอง ผบก.น.9 ผูกคอตายตอนสามีไปต่างจังหวัด ข้างบ้านเอะใจหายหน้าหลายวันหายตา-กลิ่นเหม็นจากในบ้านรุนแรง
(29 เม.ย.63) เมื่อเวลา 18.00 น. ร.ต.อ.เทิดภูมิ ดวงประทุม รองสารวัตรสอบสวน สภ.บางพลี สมุทรปราการ ได้รับแจ้งมีหญิงผู้ผูกคอเสียชีวิตอยู่ภายในบ้าน ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ หลังรับแจ้งจึงพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนและมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเดินทางเข้าตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านทาวน์เฮาส์ 2 ชั้น ที่บริเวณใต้บันใดชั้นล่างทางขึ้นชั้น 2 พบศพ นางประภาศ อายุประมาณ 60 ปี นอนหงายเสียชีวิตอยู่ในสภาพขึ้นอืด ที่ขั้นบันไดทางขึ้นชัน 2 พบเชือกฟางสีเขียวอ่อนปลายข้างหนึ่งผูกอยู่กับขั้นบันได ปลายอีกด้านเป็นรอยขาด ตรวจสอบร่างกายของผู้เสียชีวิต ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้ายแต่อย่างใด คาดเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 2 วัน
จากการสอบถามนางสาวไฟจิตร อายุ 42 ปี เพื่อบ้านที่อยู่บ้านติดกัน ได้เล่าว่า ว่า ปกติผู้ตายพักอาศัยอยู่กับสามีซึ่งเป็นอดีตตำรวจยศ พ.ต.อ. ตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 9 ขณะเกิดเหตุไม่อยู่ได้เดินทางไปต่างจังหวัดได้ประมาณ 4-5 วันก่อนแล้ว โดยเมื่อช่วงหัวค่ำของวันพุธที่ผ่านมา ลูกชายตนได้ยินเสียงคล้ายมีของหนักตกดังออกมาจากในบ้าน หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย และมาช่วงเช้าของวานนี้ตนก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าคลายซากศพโชยมาแต่ไม่มาก ตนก็ไม่ได้เอะใจอะไร
จนกระทั่งช่วงเช้าของวันนี้ในระหว่างที่ตนกำลังจะออกไปซื้อของ ก็ยังได้กลิ่นเหม็นอยู่ ช่วงเย็นตนกลับมาที่บ้าน รอบนี้มีกลิ่นเหม็นเริ่มแรงมาก ก็เลยมาคุยกับเพื่อนบ้านว่าไม่เห็นผู้ตายมาหลายวันแล้วไม่รู้เป็นอะไรหรือเปล่า ก็เลยโทรหานิติบุคคลของหมู่บ้านให้มาช่วยดู พร้อมด้วย รปภ.ของหมู่บ้าน ได้มาเคาะประตูและตะโกนเรียกผู้ตายอยู่นาน ก็ไม่มีเสียงตอบรับ จึงโทรศัพท์ไปหาสามีผู้ตาย ซึ่งอยู่ต่างจังหวัด ให้โทรหาผู้ตาย แต่ทางสามีของผู้ตายได้บอกว่าไม่สามารถติดต่อผู้ตายได้ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตนจึงได้ตัดสินใจโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบดังกล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิฐานว่า ผู้ตายน่าจะเครียดเรื่องปัญหาส่วนตัว อาศัยจังหวะที่สามีไม่อยู่บ้าน จึงใช้เชือกกวางผูกคอตัวเองตาย และคาดว่าหลังผู้ตายเสียชีวิตแล้ว เชือกทานน้ำหนักไม่ไหวจึงขาด ทำให้ร่างของผู้ตายลงมานอนกองอยู่ใต้บันได ดังกล่าว อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะทำการสอบสวนข้อเท็จจริงอีกครั้งเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป