หนุ่มขนซากเครื่องบิน ถูกจับฐานทำลูกน้องถูกไฟดูดตาย ทั้งที่นายจ้างสั่ง แต่ต้องรับผิดคนเดียว
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี นายบอล (นามสมมติ) อายุ 36 ปี กับนางเบญ (นามสมมติ) อายุ 32 ปี สองสามีภรรยาอาชีพขับรถเทรลเลอร์ และนายติ่ง (นามสมมติ) อายุ 15 ปี เด็กขนซากเครื่องบิน เข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อ นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ว่าจะถูกกล่าวหาประมาททำเด็กรถถูกไฟดูดตาย ทั้งที่ทำตามคำสั่งนายจ้าง ขณะที่เด็กขนซากเครื่องบินวัย 15 ปี เผย นายจ้างใช้แรงงานเด็กเสี่ยงอันตราย ออกคำสั่งทุกอย่าง ขอเป็นพยานเรียกร้องความเป็นธรรมให้เพื่อนร่วมงานที่ตายและบาดเจ็บจากการถูกไฟฟ้าดูดขณะทำงาน
โดย นายบอล เล่าเหตุการณ์ว่า ตนเป็นคนขับรถเทรลเลอร์ที่ขนซากเครื่องบินคันที่เกิดเหตุ ขณะนั้นมีรถที่ขนซากเครื่องบินทั้งหมด 3 คัน ขับตามกันไป คันที่ 1 เป็นรถเทรลเลอร์ คันที่ 2 เป็นรถ 12 ล้อ และคันที่ 3 ที่ตนเองขับเป็นรถเทรลเลอร์ เมื่อไปถึงลานเก็บซากเครื่องบิน มีสายไฟพาดผ่าน ต่ำกว่าระดับที่รถจะผ่านได้ รถทั้ง 3 คันจึงหยุดรอ นายจ้างซึ่งขับรถตามมาด้วยตลอดทาง ได้ใช้วิทยุสื่อสารสั่งการให้เด็ก 5 คน ที่ทำหน้าที่ขนซากซึ่งนั่งมากับรถทั้ง 3 คัน ช่วยกันใช้ไม้ค้ำสายไฟให้รถผ่านไปได้
เหตุการณ์ทั้งหมด นายจ้างเป็นคนดูทาง ดูระยะห่างของสายไฟให้ และคอยสั่งการให้คนขับแต่ละคันขับเข้าไปในลานจอด ซึ่งรถเทรลเลอร์คันแรก และคันที่สองขับเข้าไปได้ไม่มีปัญหา แต่เมื่อมาถึงคันของตน คันสุดท้าย เกิดเหตุไม่คาดคิดเพราะไฟฟ้าชอร์ต จนเด็ก ที่ทั้ง 5 คนถูกไฟดูด บางคนถูกไฟดูดติดอยู่บนรถ บางคนกระเด็นตกลงมาที่พื้นถนนได้รับบาดเจ็บกันทั้ง 5 คน มีหนึ่งคนได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา
เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 63 พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพร้อมสอบสหวิชาชีพนายกรณ์ อายุ 17 ปี และนายติ่ง อายุ 15 ปี เด็กขนซากเครื่องบินที่ได้รับบาดเจ็บแล้ว ซึ่งตนเองก็ได้เดินทางไปด้วย โดยทั้ง 2 คน ก็ให้การชัดเจนว่านายจ้างเป็นคนสั่งการทุกอย่าง แต่ทางพนักงานสอบสวนก็ยังแจ้งกับตนอีกว่า จะต้องให้ตนไปสอบปากคำและรับทราบข้อกล่าวหา ขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับบาดเจ็บสาหัส และตนก็ไม่ได้ขับรถฝ่าเข้าลานจอดหรือทำคนตายที่ไหน ทั้งหมดนายจ้างเป็นคนสั่งการ และเป็นคนดูทางให้ ตนไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จะตัดสินใจเองได้เพราะนายจ้างเป็นหัวหน้า เหตุนี้เราจึงจำต้องเชื่อฟังและทำตาม ทำไมตนจะต้องมารับกรรมถูกดำเนินคดีเพียงคนเดียว
ตนเห็นว่าไม่เป็นธรรมกับคนที่ไม่มีทางสู้ แต่ทำไมคนที่เป็นนายจ้างไม่ถูกดำเนินคดีด้วย ทั้ง ๆ ที่เป็นคนสั่งการ ตนเป็นลูกจ้างต้องรับคำสั่งอย่างเดียว ตนทำงานให้กับนายจ้างมาร่วม 4 เดือน รู้ว่านายจ้างเป็นคนมีชื่อเสียงรู้จักคนใหญ่คนโต เวลาให้ขับรถขนซากเครื่องบินไปที่ไหนตลอดเส้นทางจะไม่เคยถูกตำรวจเรียกตรวจเลยสักครั้ง
ด้าน นายติ่ง นามสมมุติ อายุ 15 ปี เด็กขนซากเครื่องบินที่อยู่ในเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบปากคำและสอบสหวิชาชีพแล้ว ซึ่งพร้อมจะเป็นพยานให้กับเพื่อนร่วมงานที่บาดเจ็บและเสียชีวิตเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม โดยนายติ่งยังเล่าอีกว่า ตนทำงานอยู่กับนายจ้างได้ราว 1 ปีเศษ ตั้งแต่อายุ 14 ปี ที่ผ่านมาใช้ชีวิตกินนอนอยู่ที่ออฟฟิศในคลังสินค้าที่ดอนเมือง เพื่อนร่วมงานก็จะเป็นเด็กเยาวชนหรือหนุ่มๆ และงานก็จะไม่เป็นเวลา บางวันทำตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงตี 1 ตี 2 บางวันกลางดึกนายจ้างก็ปลุกเรียกมาทำงาน ช่วงที่มีงานจะลาหยุดลาป่วยไม่ได้เลย ต้องอดทนทำงานจนเสร็จ ส่วนค่าแรงก็ไม่แน่นอนทั้งที่เคยตกลงกันวันละ 500 บาท แต่พอถึงเวลาจริง ๆ บางวันก็ได้ 100-200 บาท ที่ตนยังทนทำอยู่เพราะหวังจะได้เงินค่าแรงจากนายจ้างให้ครบ เพราะเวลาเงินเดือนออกเขาจะไม่จ่ายครบ เลยต้องอดทนทำงานเรื่อยมาจนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้น
ด้าน นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ ได้ประสาน นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน โดยอธิบดีสั่งการให้เจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบในเรื่องการใช้แรงงานเด็กที่เสี่ยงอันตรายและผิดกฎหมายแรงงาน และเรียกร้องค่าแรงที่นายจ้างยังจ่ายไม่ครบ พร้อมให้ประกันสังคมเรียกนายจ้างมาขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน โดยในวันที่ 1 มิ.ย. 63 จะให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิปวีณาฯ พานายติ่ง อายุ 15 ปี และ ผู้ปกครอง ไปพบเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน สำหรับทางด้านคดี และจะได้ประสาน พล.ต.ท.อภิชาติ ศิริสิทธิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ช่วยเข้ามาให้ความเป็นธรรมตรวจสอบค้นหาความจริงด้านคดี โดย นางปวีณา จะติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดต่อไป