ผู้เชี่ยวชาญหวั่น ประท้วงในสหรัฐฯ เสี่ยง COVID-19 ระบาดรอบสอง

ผู้เชี่ยวชาญหวั่น ประท้วงในสหรัฐฯ เสี่ยง COVID-19 ระบาดรอบสอง

ผู้เชี่ยวชาญหวั่น ประท้วงในสหรัฐฯ เสี่ยง COVID-19 ระบาดรอบสอง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายกเทศมนตรี เจ้าหน้าที่ และผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วสหรัฐอเมริกา แสดงความกังวลว่า การประท้วงในเมืองใหญ่ต่างๆ จากกรณีการเสียชีวิตของ “จอร์จ ฟลอยด์” อาจส่งผลให้ความเสี่ยงในการระบาดของโรค COVID-19 รอบสองเพิ่มขึ้น เนื่องจากการรวมตัวของผู้ประท้วงหลายพันคน

ในขณะที่ผู้นำทางการเมืองยืนยันสิทธิในการแสดงออกของผู้ประท้วง แต่ก็พยายามเตือนให้ผู้ชุมนุมสวมหน้ากากและรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกันตัวเองและชุมชนจากการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันกว่าแสนคน โดยเฉพาะกลุ่มคนดำ ที่มีอัตราการรักษาตัวในโรงพยาบาลและอัตราการเสียชีวิตมากกว่าคนขาว

เอริก การ์เซ็ตติ นายกเทศมนตรีลอสแอนเจลิส เตือนว่า ผู้ชุมนุมอาจกลายเป็น “ซุปเปอร์สเปรดเดอร์” จากการรวมตัวกัน โดยเฉพาะในสถานที่ปิด ซึ่งอาจนำไปสู่การระบาดของโรค COVID-19 ระลอกที่สองได้

ด้านแลร์รี โฮแกน ผู้ว่าการรัฐแมรีแลนด์ แสดงความกังวลว่ารัฐของเขาจะต้องเผชิญกับยอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นภายในระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นระยะเวลาก่อนที่ผู้ติดเชื้อจะแสดงอาการ ในขณะที่เคชา แลนซ์ บอตทอม นายกเทศมนตรีของแอตแลนตา แนะนำให้ประชาชนที่ออกไปประท้วง “ตรวจหาเชื้อภายในสัปดาห์นี้”

ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อบางคนมั่นใจว่า ความเสี่ยงในการติดเชื้อ COVID-19 อาจจะมีไม่มากนัก เนื่องจากเป็นการประท้วงกลางแจ้ง และผู้ประท้วงก็สวมหน้ากาก แต่ ดร.วิลเลียม ชาฟเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อจากมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ กล่าวว่า อากาศในพื้นที่กลางแจ้งจะทำให้เชื้อไวรัสเจือจางและลดปริมาณที่จะก่อให้เกิดการติดเชื้อ ยิ่งมีลมพัด เชื้อไวรัสก็จะยิ่งเจือจางลง อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ประท้วงเคลื่อนไหวตัวตลอดเวลา ทำให้ต้องหายใจออกมากขึ้น ก็จะทำให้การแพร่เชื้อรวดเร็วขึ้น

นอกจากนี้ ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มคนอายุน้อย ที่แม้ว่าจะมีอัตราการเจ็บป่วยไม่มาก แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะนำเชื้อไปติดผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุที่อยู่ที่บ้านได้เช่นกัน

ด้าน ดร.โฮเวิร์ด แมร์เคิล นักประวัติศาสตร์ทางการแพทย์ที่ศึกษาเรื่องโรคระบาดใหญ่ ก็อ้างถึงการเดินขบวนพาเหรดในเมืองใหญ่อย่างฟิลาเดลเฟียและดีทรอยต์ ขณะที่เกิดโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดเมื่อปี 1918 ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นทันที

“จริงอยู่ที่ว่าการประท้วงเกิดขึ้นกลางแจ้ง แต่ผู้ชุมนุมก็ยืนใกล้กัน เพราะฉะนั้น การประท้วงกลางแจ้งก็ไม่ช่วยอะไร” ดร.แมร์เคิลกล่าว “การรวมตัวกันก็คือการรวมตัวกัน ไม่เกี่ยวว่าคุณจะประท้วงหรือมาเชียร์ใคร นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เราไม่จัดการแข่งขันเบสบอลและจะไม่มีการแข่งขันฟุตบอลในระดับวิทยาลัยช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้”

นอกจากนี้ ดร.แมร์เคิลยังกล่าวว่า แม้ว่าผู้ประท้วงหลายคนจะสวมหน้ากาก แต่ก็มีผู้ที่ไม่ได้สวมหน้ากากเช่นกัน เชื้อโรคจึงสามารถแพร่กระจายผ่านการจาม การไอ รวมทั้งการกรีดร้องหรือตะโกนระหว่างการประท้วง ยิ่งอารมณ์ของประชาชนรุนแรงมากขึ้น ก็ทำให้ต่างคนต่างลืมระมัดระวังตัว

แก๊สน้ำตาและสเปรย์พริกไทยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ในการสลายการชุมนุม ก็ทำให้ผู้ชุมนุมน้ำตาไหลและไอได้ ทำให้เพิ่มโอกาสในการแพร่กระจายของเชื้อโรคทางตา จมูก และปาก รวมทั้งการที่เจ้าหน้าที่พยายามบีบให้ประชาชนเข้าสู้พื้นที่เมืองที่แคบ ก็ยิ่งทำให้ผู้ประท้วงยืนเบียดกันยิ่งกว่าเดิมด้วย

สิ่งที่น่ากังวลมากที่สุดสำหรับผู้เชี่ยวชาญ นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดก็คือ การที่เชื้อไวรัสสามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นโดยไม่แสดงอาการและทำให้ผู้ที่ติดเชื้อยังสามารถออกไปร่วมชุมนุมได้ ซึ่งนับว่าเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง ดังนั้น ดร.อาชิช จาห์ ศาสตราจารย์และผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันสุขภาพโลกฮาร์วาร์ด (Harvard Global Health Institute) จึงแนะนำให้ผู้ประท้วงพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง และตำรวจเองก็ต้องมีความอดกลั้นเช่นกัน เนื่องจากการจับกุมผู้ประท้วงและส่งตัวไปยังที่คุมขัง ถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการแพร่เชื้อไวรัสทางหนึ่ง

ด้าน ดร.สก็อตต์ ก็อตต์ลีบ อดีตกรรมการอาหารและยา กล่าวในรายการ “Face The Nation” ทางช่อง CBS ว่า การประท้วงอาจนำไปสู่ “ห่วงโซ่การระบาดใหม่” ซึ่งความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ บวกกับข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการสุขภาพ การเลือกปฏิบัติในระบบดูแลสุขภาพ การพึ่งพาระบบขนส่งสาธารณะอย่างมาก และความแตกต่างในการจ้างงาน เป็นปัจจัยที่นำไปสู่ภาระหนักในการรับมือกับโรค COVID-19 ของคนผิวสี

“การจะหยุดโรคระบาดใหญ่นี้ได้นั้น เราต้องอาศัยความสามารถในการดูแลกลุ่มคนที่มีความเปราะบางทั้งทางการแพทย์และสังคม เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่เหล่านี้ เพื่อที่จะลดความเสี่ยงในการระบาดของโรค” ดร.ก็อตต์ลีบกล่าว

ติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ COVID-19 ได้ที่นี่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook