ธุรกิจในมินนิอาโปลิสลั่นยืนข้างผู้ประท้วง คืนความยุติธรรมให้ “จอร์จ ฟลอยด์”

ธุรกิจในมินนิอาโปลิสลั่นยืนข้างผู้ประท้วง คืนความยุติธรรมให้ “จอร์จ ฟลอยด์”

ธุรกิจในมินนิอาโปลิสลั่นยืนข้างผู้ประท้วง คืนความยุติธรรมให้ “จอร์จ ฟลอยด์”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมินนิอาโปลิสจับกุม “จอร์จ ฟลอยด์” ชายผิวดำวัย 46 ปี และกดคอของเขาด้วยเข่าจนเสียชีวิต การประท้วงครั้งใหญ่ทั่วสหรัฐอเมริกาก็ปะทุขึ้น เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับฟลอยด์ นำไปสู่การจลาจลและการปล้นสะดมร้านค้าต่างๆ ในมินนิอาโปลิสและเซนต์ปอล ส่งผลให้บรรดาธุรกิจได้รับความเสียหายจากเหตุรุนแรงที่กินเวลานานถึง 4 วัน

แต่แม้ว่าจะเกิดความเสียหาย เจ้าของธุรกิจเหล่านี้ก็ยังคงส่งเสียงสนับสนุนผู้ประท้วงในรูปแบบต่างๆ

รูเฮล อิสลาม ชาวบังกลาเทศ เจ้าของร้านอาหาร Gandhi Mahal สูญเสียร้านอาหารของเขาที่ดำเนินกิจการมานานถึง 13 ปี ในการประท้วงครั้งนี้ เมื่อเขาได้ทราบว่าร้านของเขาถูกเผา เขาพูดเพียงว่า “ปล่อยให้ร้านไหม้ไปเถอะ ความยุติธรรมต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน และเจ้าหน้าที่พวกนั้นก็ต้องติดคุก

ส่วนลูกสาวของเขา ฮาฟซา อิสลาม กล่าวว่า ครอบครัวของเธอเปลี่ยนร้านอาหารให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยและปฐมพยาบาลสำหรับผู้ประท้วงที่บาดเจ็บ และแม้ว่าเธอและครอบครัวจะกังวลเกี่ยวกับธุรกิจ แต่สิ่งที่พวกเขากังวลมากกว่าคือผู้ประท้วง โดยครอบครัวของเธอได้ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บกว่าร้อยคนในวันอังคารถึงวันพุธ จนกระทั่งรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัยในคืนวันพฤหัสบดี

ฮาฟซาเล่าว่า ประชาชนในละแวกร้านของเธอพากันยืนหน้าร้าน เพื่อป้องกันร้านอาหารไว้อย่างสุดความสามารถ แต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา หน้าต่างร้านก็ถูกทุบจนแตก และเช้าวันต่อมา ร้านของเธอก็เหลือเพียงกองเถ้าถ่าน อย่างไรก็ตาม เธอยังยืนยันว่าจะยังคงสนับสนุนผู้ประท้วงต่อไป เพราะเธอมองว่านี่คือการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมจากระบบที่ไม่มีความยุติธรรม

หลังจากที่ร้าน Gandhi Mahal ถูกไฟไหม้จนเสียหาย ก็มีการระดมเงินกว่า 79,400 เหรียญสหรัฐ เพื่อช่วยเหลือร้าน โดยเงินส่วนหนึ่งจะถูกนำไปใช้ในการบูรณะร้าน และอีกส่วนหนึ่งจะใช้ในการช่วยเหลือธุรกิจอื่นๆ ที่ได้รับความเสียหายต่อไป

อิสลามระบุว่า เมืองแห่งนี้ไม่อาจจะคาดหวังความสงบสุข จนกว่าจะสามารถแก้ไขรากของปัญหา นั่นคือการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

“ผมเติบโตมาในประเทศโลกที่สาม ที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ผมไม่อยากเห็นความรุนแรงที่นี่ ไม่อยากให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองทำร้ายประชาชน ถึงเวลาแล้วที่เราต้องสร้างความเปลี่ยนแปลง เราแก้ตัวแทนตำรวจไม่ได้อีกต่อไป ที่นี่คืออเมริกา เรามาที่นี่เพื่อความยุติธรรม”

ส่วน Moon Palace Books ร้านขายหนังสือและอาหารในมินนิอาโปลิส ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ตั้งอยู่ในพื้นที่การชุมนุมประท้วง ซึ่งเจมี ชเวดเนสด์ และภรรยาของเขา แองเจลา ชเวดเนสด์ ก็ตัดสินใจเปิดพื้นที่ในร้านให้เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้ประท้วงเช่นกัน โดยพวกเขาแขวนป้าย “ล้มล้างตำรวจ” และห้ามตำรวจเข้ามาใช้ลานจอดรถและพื้นที่ด้านนอกร้าน รวมทั้งกำหนดให้ร้านของตนเป็น “เขตปลอดความรุนแรง” ที่ประชาชนใช้ในการตั้งจุดรักษาพยาบาลให้กับผู้ประท้วงที่บาดเจ็บ ล้างแก๊สน้ำตา และทำความสะอาดแผล

และไม่ว่าร้านจะได้รับความเสียหาย แต่สองสามีภรรยาก็ยังคงยืนยันที่จะสนับสนุนผู้ประท้วงเช่นกัน โดยชเวดเนสด์กล่าวว่า ประชาชนกำลังเกรี้ยวกราด เนื่องจากไม่มีหน่วยงานรัฐใดที่รับฟังเสียงของประชาชนจริงๆ ไม่มีใครรับฟังความเจ็บปวดและความโกรธของพวกเขา และไม่มีใครแสดงความห่วงใยประชาชน

“ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มันไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าของธุรกิจเล็กๆ ที่จะคุ้มครองลูกค้าและเพื่อนบ้านของเราจากตำรวจ แต่นี่เรากำลังทำอยู่” ชเวดเนสด์กล่าว

ด้านเอมิ นิจิยะ เจ้าของร้านสักลาย Jackalope Tattoo กล่าวกับ CNN ว่า ร้านของเขาก็สนับสนุนผู้ประท้วงเช่นกัน โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เขาตอกไม้ปิดหน้าต่างร้าน และพ่นสีสเปรย์เพื่อแสดงว่าเขาสนับสนุนการประท้วง รวมถึงการพ่นสีเป็นสโลแกนและคำคมปลุกใจผู้ประท้วง อย่างคำพูดของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ที่ว่า “การประท้วงเป็นภาษาของผู้ที่เสียงไม่เคยถูกรับฟัง” (A riot is the language of the unheard.)

เช่นเดียวกับเจ้าของธุรกิจคนอื่นๆ นิจิยะยืนยันว่าพวกเขาต้องสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง และแม้ว่าร้านของพวกเขาจะถูกทำลาย แต่พวกเขาก็จะไม่เปลี่ยนจุดยืน ขณะเดียวกัน ก็จะไม่สนับสนุนการกระทำของกลุ่มคนขาวที่มีแนวคิดสุดโต่งและผู้ที่อยู่นอกรัฐ ที่เดินทางเข้ามาเพื่อสร้างความวุ่นวาย

ทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ กล่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นในมินนิอาโปลิสนั้น เป็นการปลุกปั่นของคนนอก และกลุ่มที่ทำลายทรัพย์สินส่วนใหญ่ไม่ใช่ผู้ที่พำนักอยู่ในเมืองแห่งนี้ และไม่ได้สนใจเรื่องการเสียชีวิตของฟลอยด์แต่อย่างใด นอกจากนี้ ผู้ว่าการรัฐยังระบุว่ามีผู้ประท้วงที่เป็นชาวมินเนโซตาเพียง 20% เท่านั้น

“เราพร้อมจะอยู่เคียงข้างผู้ประท้วงเสมอ ธุรกิจของเราสูญเสียรายได้ได้ แต่เราไม่อาจสูญเสียชีวิตของประชาชน” นิจิยะกล่าว

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook