วิทยา ย้ำไม่ประมาทหวัด2009

วิทยา ย้ำไม่ประมาทหวัด2009

วิทยา ย้ำไม่ประมาทหวัด2009
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แม้แพทยสภาคาดไม่น่าจะมีระบาดรอบ2 ด้านพ่อแม่หนุ่มวัย28 บุกสธ.ร้องสอบกรณีลูกชายเสียชีวิตด้วยอาการคล้ายหวัด09

วันนี้(24 ส.ค.) นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่ ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา ระบุว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ไม่น่าจะระบาดระลอก 2 เพราะการระบาดใหญ่ของประเทศไทยได้ผ่านพ้นไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา ว่า ความเห็นของนักระบาดวิทยาก็ยังบอกว่าอาจจะมีการระบาดระลอก 2 อยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ส่วนความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ คือ ศ.นพ.สมศักดิ์ ที่ได้พูดคุยกันก่อนหน้านี้ บอกว่ามันจบแล้ว ก็ไม่รู้จะเชื่อ หรือฟังใครดี แต่สิ่งสำคัญคือ กระทรวงสาธารณสุขจะประมาทไม่ได้ เพราะเคยมีบทเรียนมาแล้วตั้งแต่การระบาดในช่วงต้น ๆ อีกทั้งขณะนี้ ยังไม่รู้ว่ามีคนติดเชื้อและมีภูมิคุ้มกันมากน้อยแค่ไหนแล้ว ดังนั้นต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ

'ในช่วง 3 เดือนครึ่งที่ผ่านมา ผมสะบักสะบอมไปทั้งตัว ดังนั้นไม่ว่าจะมีการระบาดระลอกที่ 2 หรือไม่ก็ต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อน เพราะหากไม่เตรียมพร้อมเดี๋ยวจะโดนหนักอีก ดังนั้นในเร็วๆนี้ จะหารือนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดแต่ละภาคในเรื่องนี้ โดยเฉพาะในบางจังหวัดที่ผ่านการรับมือโรคนี้มาแล้ว คิดว่าคงได้แนวทางที่เป็นประโยชน์' นายวิทยา กล่าว

นายวิทยา กล่าวต่อว่า สำหรับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในขณะนี้ พบว่า ผู้ป่วยน้อยลง สถานการณ์ในโรงพยาบาลต่างๆ กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว อาจเป็นเพราะว่า ประชาชนกังวลและป้องกันตัวเอง นอกจากนี้อาจเป็นเพราะว่าอากาศร้อน รวมทั้งการจ่ายยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์เร็วขึ้น เมื่อถามว่า แสดงว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตในรอบสัปดาห์นี้น่าจะน้อยลงใช่หรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อตัวเลขผู้ป่วยน้อยลง ตัวเลขผู้ป่วยชีวิตก็ต้องน้อยลงและสัมพันธ์กัน

นายวิทยา ยังได้กล่าวถึงการให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทั่วประเทศออกสำรวจประชาชนทุกหลังคาเรือนที่มีอาการไข้หวัดใหญ่ว่า หลายพื้นที่ทำงานเข้าเป้า แต่บางพื้นที่เช่น ภาคเหนือติดอุปสรรคต้องทำนา และฝนตกหนัก ทำให้การดำเนินการได้ 100 % แต่ก็มีบางพื้นที่ที่ อสม. ไปพบผู้ป่วยและมีการส่งต่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาลด้วยตัวเอง

นายวิทยา ยังได้กล่าวถึงกรณีที่องค์การเภสัชกรรมมีการจ่ายยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ สำหรับเด็กว่า คิดว่าทาง อภ.คงมีตัวเลขนี้อยู่แล้ว หากทางโรงพยาบาลต่าง ๆ แจ้งความต้องการยามาก็สามารถแจกจ่ายได้

พ่อแม่หนุ่มวัย28 บุกสธ. ร้องกรณีลูกชายตาย

ที่กระทรวงสาธารณสุข เมื่อเวลา 13.30 น. นายธวัชสิทธิ์ ตวงสินกุลบดี นางธัญญพัฒน์ ตวงสินกุลบดี พ่อแม่ของนายพีรวีร์ ตวงสินกลุบดี อายุ 28 ปี ผู้เสียชีวิตด้วยอาการคล้ายโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เสียค่าใช้จ่ายไปกว่า 3 ล้านจากการรักษา รพ.เอกชน 3 แห่ง พร้อมด้วย นายปรวุฒิ พิพัฒน์เบญจพล นางพวงผกา พิพัฒน์เบญจพล น้าชาย และน้าสะใภ้ ได้เข้าพบนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีการเสียชีวิตของนายพีรวีร์

นายปรวุฒิ กล่าวว่า ขอให้ รมว.สาธารณสุข ช่วยติดตามความคืบหน้า และสอบสวนการเสียชีวิตของหลานชายตน เนื่องจากขณะนี้ได้ร้องขอเวชระเบียนของโรงพยาบาลเอกชน 2 แห่ง แต่กลับถูกบ่ายเบี่ยง โดยเฉพาะเอกสารสำคัญการบันทึกการตรวจวัดไข้ผู้ป่วย และรายงานของพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วย ซึ่งแพทย์ท่านหนึ่งให้คำแนะนำว่าเป็นเอกสารสำคัญที่จะชี้ให้เห็นถึงความ เปลี่ยนแปลงของการของผู้ป่วย ที่เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจรักษา ทั้งนี้ตนกังวลว่า เอกสารที่ได้รับล่าช้านี้อาจถูกแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลสำคัญได้ ขณะที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งที่ 3 ที่เข้ารักษากลับส่งเวชระเบียนการรักษาทั้งหมดโดยให้เป็นรูปเล่มสวยงาม มีเอกสารพร้อมทั้งขั้นตอนรักษา การจ่ายยาในแต่ละช่วง และใบเสร็จรับเงิน

นายปรวุฒิ กล่าวต่อว่า ตอนนี้ยังไม่ได้ตันสินใจว่าจะฟ้องร้องโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งหรือไม่ แต่จะขอรอดูความรับผิดชอบของโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งก่อน อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ทั้ง 2 โรงพยาบาลก็ไม่ได้ติดต่อใดๆ กลับมาหลังจากมีการนำเสนอข่าวไป ส่วนกรณีที่ นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ออกมาระบุว่า ในวันที่นายพีรวีร์เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น กระทรวงสาธารณสุขยังไม่ได้ออกคู่มือการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นั้น นายปรวุฒิ กล่าวว่า การออกมาระบุของ นพ.เอื้อชาติ ทั้งที่ยังไม่ได้มีการสอบสวนใดๆ จึงเกรงว่า การออกมาให้ข้อมูลแบบนี้จะเป็นการสกัดการร้องเรียนความเป็นธรรมของพวกตนให้ กับหลานชาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ที่เราได้ยื่นเรื่องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยังได้แสดงท่าทีเข้าใจ และรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ในช่วงนี้นายพีรวีร์ให้การรักษาแม้ว่าจะยังไม่มีคู่มือ แต่จากที่คนในครอบครัวมีการป่วยถึง 7 คน จึงน่าที่แพทย์วินิจฉัยอาการหวัด 2009 ได้เช่นกัน

นายปรวุฒิ กล่าวต่อว่า สำหรับค่ารักษานายพีรวีร์ที่โรงพยาบาลแห่งที่ 3 ซึ่งมีค่ารักษาทั้งสิ้น 2.7 ล้านบาท ทางครอบครัวไม่ติดใจ และได้ทยอยจ่ายไปแล้วกว่าล้านบาท แต่ยอมรับว่าเป็นค่ารักษาที่สูงมากและเมื่อเปรียบเทียบกับการบริการที่ดี รวมถึงการรักษาที่เอาใจใส่ต่อผู้ป่วยอย่างมากก็ไม่ติดใจ แต่ถ้าลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ลงได้ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี

ด้าน นายวิทยา กล่าวว่า ได้มอบหมายให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยเฉพาะการดำเนินการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลที่ถูกร้องเรียนมา และหลังจากรับฟังข้อมูล ตนก็สงสัยว่าผู้เสียชีวิตมีการอาการป่วยในช่วงแรก 3-4 วัน และอาการไม่ดีขึ้น แต่ทำไมแพทย์จึงให้กลับบ้านได้ ขณะที่เมื่อกลับมารักษาอีกครั้งปรากฏว่ามีภาวะปอดอักเสบ และเอกซเรย์ดูพบว่าปอดขาวไปหมดแล้ว จากภาวะน้ำท่วมปอด อีกทั้งยังไม่มีการให้ยาโอเซลทามีเวียร์ตั้งแต่แรก แม้ว่าจะมีการอ้างว่าในการรักษาขณะนั้นไม่มีคู่มือแพทย์ในการรักษาโรคไข้ หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เล่มเขียว แต่การรักษาของแพทย์ต้องยึดดูตามอาการเป็นหลักก่อนถึงจะมีคู่มือการรักษา หรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ตนได้สั่งการให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ที่ดูแลกองการประกอบโรคศิลปะ รายงานความคืบหน้าการตรวจสอบให้ทราบในวันที่ 25 ส.ค. ภายหลังจากที่ตนได้สั่งการให้เข้าไปดูแลเรื่องนี้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา

นายวิทยา กล่าวว่า สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่สูงถึง 2.7 ล้านบาท ในโรงพยาบาลแห่งที่ 3 นั้น ตนได้ฝาก สบส. เข้าไปดูแลช่วยเจรจาลดค่าลง แม้ว่าญาติจะจ่ายไปแล้วส่วนหนึ่ง ถือเป็นการช่วยเหลือญาติผู้ป่วยที่ได้รับความเดือนร้อน

ด้าน นพ.วิศิษฐ์ ตั้งนภากร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า ทางกรมได้รับเรื่องร้องเรียนไว้แล้ว และจะเร่งดำเนินการสอบสวนทั้ง 2 ฝ่ายเพื่อให้ความเป็นธรรม และสัปดาห์หน้าจะเชิญตัวแทนโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นคู่กรณีมาชี้แจงต่อคณะ กรรมการพิจารณารับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้จะยึดหลักการพิจารณาใน 3 ประเด็น คือ 1.สถานพยาบาลถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ 2.การรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลได้มาตรฐานหรือไม่ ซึ่งในประเด็นนี้จะส่งเรื่องไปยังแพทยสภาดำเนินการ และ 3. การบรรเทาเยียวยาความเสียหายแก่ญาติผู้ป่วย ที่เป็นการไกล่เกลี่ยเบื้องต้นเพื่อไม่ให้มีการฟ้องร้องถึงขั้นศาล และหากตกลงกันได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดี.

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook