หน่วยหนุมานบุกล็อกตัว "ลุงบุญช่วย" พร้อมลูกชาย คดีฮุบธรณีสงฆ์ 3,800 ไร่

หน่วยหนุมานบุกล็อกตัว "ลุงบุญช่วย" พร้อมลูกชาย คดีฮุบธรณีสงฆ์ 3,800 ไร่

หน่วยหนุมานบุกล็อกตัว "ลุงบุญช่วย" พร้อมลูกชาย คดีฮุบธรณีสงฆ์ 3,800 ไร่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หน่วยหนุมาน กองปราบฯ บุกล็อกตัว ลุงบุญช่วยพร้อมลูกชาย หลังพบหลักฐานชัดฮุบที่ดินธรณีสงฆ์ 3,800 ไร่ ใน จ.จันทบุรี

พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุปผาสุวรรณ รองผู้บังคับการกองปราบปราม (รอง ผบก.ป.) นำชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน จำนวน 20 นายและเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.2 บก.ป. พร้อมอาวุธครบมือ นำหมายค้นจากศาลอาญาเข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 32/21 ม.10 ต.คลองพลู อ.เขาคิชฌกูฎ จ.จันทบุรี เพื่อเข้าจับกุมตัว นายบุญช่วย อายุ 80 ปี และ นายกิตติพงษ์ อายุ 43 ปี บุตรชาย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา “เบิกความเท็จต่อศาล, ให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ และร่วมกันยักยอกทรัพย์”

สำหรับการเข้าจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561 มูลนิธิอธิธรรมมหาธาตุวิทยาลัยได้ส่งตัวแทนเข้าพบพนักงานสอบสวน แจ้งความเอาผิดกับ นายบุญช่วย ซึ่งเป็นน้องชายของ พระกิตติวุฑโฒ ภิกขุ ที่มรณภาพไปแล้ว อดีตประธานมูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุ ว่าได้ยักยอกที่ดินในพื้นที่ ต.พลวง ต.ตะเคียนทอง อ.เขาคิชณกูฎ และบางส่วนใน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ของมูลนิธิจำนวน 3,800 ไร่ ไปเป็นของตนเอง โดยมีการสวมสิทธิการครอบครองและนำไปออกโฉนดโดยมิชอบด้วยการแจ้งเท็จต่อศาลแพ่งและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

ภายหลังรับเรื่องทางเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีดังกล่าวจึงได้นำกำลังลงพื้นที่สืบตรวจสอบข้อเท็จจริง จนกระทั่งพบว่าเดิมทีที่ดินผืนนี้เป็นที่ดิน สปก. มีนายสมพล เป็นผู้ครอบครอง กระทั่งประมาณปี 2513-2515 พระกิตติวุฒโฑ ได้ก่อตั้งมูลนิธิอธิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย พร้อมกับเปิดรับบริจาครวบรวมเงินของชาวบ้านมาเป็นทุนซื้อที่ดินผืนดังกล่าวจาก นายสมพล เพื่อนำมาใช้ปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ของพระสงฆ์ ในราคา 12 ล้านบาท แต่จ่ายเงินไปเพียง 8 ล้านบาท อีก 4 ล้านบาทยังไม่ได้ชำระ แต่ทางนายสมพล เห็นว่าจะนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ทางศาสนา จึงมอบที่ดินให้ไปใช้ประโยชน์ก่อน

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ที่ดินมาแล้ว พระกิตติวุฒโฑ ได้มอบหมายให้ นายบุญช่วย ซึ่งเป็นน้องชายของตัวเองเป็นผู้ดูแลที่ดิน แต่เมื่อ พระกิตติวุฒโฑ ได้มรณภาพลงในปี 2548 นายบุญช่วย และ บุตรชาย กลับวางแผนที่จะเข้าครอบครองที่ดินผืนดังกล่าวมาเป็นของตนเอง โดยในปี 2550 นายบุญช่วย ได้ไปยื่นเรื่องฟ้องร้อง นายเรวัฒิ ลูกชายของนายสมพล ในฐานะเป็นผู้รับมรดกเพื่อให้โอนที่ดินดังกล่าวมาเป็นของตัวเอง โดยมี นายบัญชา ทนายความชื่อดัง เป็นทีมทนายความ กระทั่งศาลจังหวัดจันทบุรีมีคำพิพากษาให้ทายาทของนายสมพล โอนที่ดินดังกล่าวไปเป็นชื่อของนายบุญช่วย ตามที่ร้องขอ

จากนั้นปี 2554-2555 นายบุญช่วย ได้ไปยื่นขอเปลี่ยนที่ดิน สปก. เป็นโฉนดที่ดิน เพื่อทำให้มีมูลค่าสูงขึ้น ทาง น.ส.เขมจิรา และ พล.ต.ต.ธารินทร์ ซึ่งเป็นทายาทรุ่นหลานของนายสมพล จึงเริ่มพบเห็นความผิดปกติ และเกิดความไม่พอใจเพราะเห็นว่าที่ดินดังกล่าวไม่ได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางศาสนาตามวัตถุประสงค์เดิม จึงเกิดการฟ้องร้องเป็นคดีขึ้นหลายคดี แต่เป็นทางฝ่ายทายาทที่แพ้คดีมาโดยตลอด

รวมถึงยังลุกลามบานปลายจนกลายเป็นมูลเหตุทำให้ พล.ต.ต.ธารินทร์ ตัดสินใจใช้อาวุธปืน กราดยิงใส่ นายบัญชา, นางสุภาพร ภรรยานายบัญชา, นายวิชัย และ นายวิจัย ทีมทนาย ภายในศาลจังหวัดจันทบุรี ขณะกำลังรอพยานฝ่ายจำเลยและรอผู้พิพากษาขึ้นนั่งบัลลังก์นัดสืบพยานฝ่ายจำเลยนัดแรก เพื่อรับฟังการพิจารณาคดีการฟ้องร้องทางแพ่งปลีกย่อยเกี่ยวกับที่ดินผืนดังกล่าว

ซึ่งภายหลังเกิดเรื่อง ทำให้คดีดังกล่าวกลายเป็นที่สนใจจากสังคม ทางกองปราบฯจึงได้รับโอนสำนวนคดีทั้งหมดมาอยู่ในความดูแล พร้อมกับสืบสวนข้อเท็จจริงจนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานนำไปสู่การออกหมายจับและจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนดังกล่าว

ทั้งนี้ ภายหลังการเข้าจับกุมตัวและตรวจค้นหาพยานหลักฐานต่างๆ ภายในบ้านเสร็จสิ้นแล้วนั้น ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมก็ได้เร่งนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คน เดินทางต่อมายังกองบังคับการปราบปรามเพื่อทำการสอบสวนโดยทันที

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook