แม่ "พลทหารนุก" จี้หาสาเหตุ ลูกบาดเจ็บสาหัสในค่าย จนพิการทั้งกายและจิต
แม่ร้องศูนย์ดำรงธรรม ลูกเป็นทหารเกณฑ์ถูกซ้อมจนพิการทั้งร่างกายและจิตใจ สุดผวาผู้บังคับบัญชาโทรแจ้งจะรับตัวลูกชายกลับไปค่ายอีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (9 มิ.ย.) นายรัฐประชา พุฒนวล ผู้ช่วย ส.ส.ปริญญา ช่วยเกตุ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นำ นางปพิชญา อายุ 56 ปี พร้อมด้วย พลทหารประจักษ์ หรือ น้องนุก อายุ 25 ปี บุตรชาย เข้ายื่นหนังสือต่อศูนย์ดำรงธรรม จ.ตรัง เพื่อถามหาเหตุผลที่ทำให้พลทหารประจักษ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะประจำการอยู่ในค่าย
โดยมีนายภานุวัติ พูลสวัสดิ์ หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรม จ.ตรัง เป็นผู้รับหนังสือ เพื่อขอให้ศูนย์ดำรงธรรมประสานงานกับต้นสังกัดคือ กองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 56 อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อขอให้ปลดประจำการพลทหารประจักษ์ พร้อมยื่นหลักฐานประกอบ ทั้งใบรับรองแพทย์ สำเนาบัตรประจำตัวคนพิการ และภาพบาดแผลตามร่างกาย รวมทั้งภาพถ่ายของพลทหารประจักษ์ขณะมีอาการคลุ้มคลั่ง
ซึ่งขณะนี้พลทหารประจักษ์กลายเป็นคนพิการ ประเภท 4 (ทางจิต) และเป็นผู้ป่วยโรคจิตเภท อันเนื่องมาจากอาการบาดเจ็บสาหัส และสมองกระทบกระเทือนหนัก ขณะประจำการและถูกขังอยู่ในห้องขังภายในกองบิน 56
โดยจนถึงขณะนี้ทางครอบครัว ยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับพลทหารประจักษ์ โดยที่พลทหารเองก็จำเหตุการณ์ หรือเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ขณะอยู่ค่ายไม่ได้ และทางต้นสังกัดก็ลูกชายกลับขณะที่ลูกชายมีอาการสาหัส และจำอะไรไม่ได้เมื่อ พ.ค.62
จากการสอบถาม นางปพิชญา มารดาของพลทหารประจักษ์ กล่าวว่า ลูกชายได้สมัครเป็นทหารเกณฑ์ สังกัดกองพันทหารอากาศโยธิน กองบิน 56 อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อปี 2560 แต่ต่อมาลูกชายกลับมาเยี่ยมบ้าน และหนีทหารไม่กลับไป แต่ตนเองพยายามเกลี้ยกล่อมให้ลูกชายกลับไป เพราะหากหนีทหารจะมีความผิดและเรียนหนังสือต่อไม่ได้ ทำให้ลูกชายกลับไป เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2561 ตลอดระยะเวลาเข้าประจำการ ลูกชายสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และไม่กลับมาเยี่ยมบ้านอีกเลย
จนกระทั่งวันที่ 1 พ.ค. 2562 ตนเองได้รับโทรศัพท์จากกองบิน 56 ให้ไปรับลูกชายกลับ เพื่อไปถึงพบบุตรชายถูกขังอยู่ในห้องขังค่ายกองบิน 56 มีสภาพอิดโรย จำความอะไรไม่ได้ แม้กระทั่งมารดาของตัวเอง พบเห็นบาดแผลทั่วตัว ที่ก้นเป็นแผลสด โดยเป็นรูขนาดใหญ่ 2 รู ทะลุเข้าหากัน มีรอยฟกช้ำตามร่างกาย บาดแผลที่ขากระดูกหัก มีบาดแผลที่ศีรษะ ศีรษะผิดรูปไปจากเดิม ไม่สามารถเคลื่อนไหวตามปกติได้ จึงได้นำบุตรชายกลับมารักษาตัวที่ภูมิลำเนา รวมระยะเวลาตั้งแต่เริ่มเข้ารับใช้ชาติในบทบาทพลทหารเกณฑ์ จนถึงวันที่ตนเองไปรับ เป็นเวลา 7 เดือน 4 วัน
เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ได้ส่งลูกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตรังอย่างต่อเนื่อง โดย 2 เดือนแรกตนเองต้องไปเช่าบ้านอาศัยอยู่หน้าโรงพยาบาลตรัง เพื่อง่ายต่อการเยี่ยมและดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ซึ่งมีผลต่อสุขภาพจิตและการฟื้นตัว โดยแพทย์มีความเห็นว่าอาการบาดเจ็บทางร่างกายหายดีแล้ว แต่ไม่สามารถกลับมาเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามปกติ พบขาก็พิการจากกระดูกหัก จึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ลูกชายไม่สามารถทำงานได้
ตนเองต้องขายที่ดินที่เป็นมรดก เพื่อนำมาเป็นค่าอยู่กิน และค่าดูแลรักษาพยาบาลลูกชาย จากนั้นให้ลูกชายบวชเป็นพระ แต่ไม่สามารถออกไปบิณฑบาตได้ เพราะขาพิการ ไม่แข็งแรง เกรงจะหกล้มได้รับอันตราย จึงต้องลาสิกขา และสุดท้ายลูกชายได้กลายเป็นคนพิการ และเป็นโรคจิตเภท (โรคทางระบบประสาท) ยังต้องเข้ารับการรักษาอาการอย่างต่อเนื่อง โดยบางครั้งมีอาการคลุ้มคลั่ง และบางครั้งชักเกร็ง ถึงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ทำให้แม่เป็นทุกข์ใจเป็นอย่างมาก
ล่าสุด เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา ลูกชายมีอาการทางประสาท คลุ้มคลั่ง คุมสติไม่ได้ เนื่องจากไม่รับประทานยาอย่างต่อเนื่อง จึงต้องเข้ารับการรักษาที่ รพ.ตรัง ในแผนกจิตเวชต้องจับมือมัดเท้า และต้องรักษาตัวอยู่นานเป็นเวลาถึง 17 วัน นอกจากนั้นลูกชายยังมีอาการหลงๆ ลืมๆ เป็นบางครั้ง ร่างกายอ่อนแรง ยิ้มหัวเราะคนเดียว ชอบพูดคนเดียวคล้ายคนเสียสติ และบางครั้งก็เดินออกจากบ้านไปไม่มีจุดหมาย ทำให้แม่ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ทำให้เป็นทุกข์ใจเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาหลังเกิดเหตุ และรับลูกชายมาจากห้องขังในกองบิน 56 หน่วยงานต้นสังกัด ไม่เคยเหลียวแล และไม่เคยได้รับการดูแลเยียวยาใดๆ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้ต้องกินเงินเดือนคนพิการ ทั้งนี้ ลูกชายมีกำหนดจะครบเกณฑ์ปลดประการในเดือนสิงหาคมนี้
นางปพิชญา กล่าวอีกว่า ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา ตนเองได้รับโทรศัพท์จากผู้บังคับบัญชาของลูกชาย แจ้งว่าจะมารับตัวลูกชายกลับไปกองบิน 56 ในวันที่ 3 มิ.ย. ทำให้ตนเองและครอบครัวรู้สึกหวาดกลัว ไม่อยากให้ลูกชายกลับไปค่ายแห่งนั้นอีกเลย เพราะบุตรชายบาดเจ็บสาหัส แต่รอดตายหวุดหวิดมาจากที่นั่น และบุตรชายไม่สามารถดูแลตัวเองได้ พิการทั้งร่างกาย จิตใจและพฤติกรรม ซึ่งทางกองบิน 56 ก็ทราบดี แต่ยังจะมาเอาตัวลูกชายกลับไปประจำการ
ทำให้ตนเองต้องร้องศูนย์ดำรงธรรม เพื่อขอให้ประสานต้นสังกัด ขอปลดประจำการลูกชาย และขอความเป็นธรรมจากต้นสังกัด ที่ผ่านมาตนเองไม่เคยร้องเรียน เพื่อเอาผิดใคร รวมทั้งต้นสังกัดของลูกชาย แต่ในขณะนี้ครอบครัวเดือดร้อนอย่างมาก หากตนเองตายไป ใครจะดูแลลูกชาย และลูกชายก็มีครอบครัว มีลูกชายขณะนี้อายุ 5 ขวบแล้ว แต่พ่อดูแลไม่ได้
ซึ่งขณะที่ลูกชายเป็นปกติ จะดูแลครอบครัวของเขาเองได้อย่างดี และรักลูกชายเขามาก ชอบป้อนข้าว ป้อนน้ำให้ลูก จึงอย่างเรียกร้องผ่านสื่อมวลชน ขอให้ทางกองทัพ และกองบิน 56 ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาไม่เคยร้องเรียน และไม่เคยได้รับคำอธิบายจากต้นสังกัดลูกชาย ว่าลูกชายบาดเจ็บจากอะไร ขณะถูกขังอยู่ในคุกที่กองบิน 56
ด้าน พลทหารประจักษ์ หรือ น้องนุก ซึ่งในวันนี้อารมณ์ดี ทำให้พูดจาโต้ตอบกับผู้สื่อข่าวได้บ้างด้วยประโยคสั้นๆ พบว่าที่ศีรษะและบริเวณก้น ยังมีรอยแผลเป็น โดยบอกว่าตนเองจำได้แค่ว่าหลับไป แต่พอมาตื่นอีกที ก็พบว่ามาอยู่กับแม่แล้วเท่านั้น ที่เหลือจำอะไรไม่ได้
และขณะที่อยู่บริเวณหน้าศาลากลาง เมื่อผู้สื่อข่าวบันทึกภาพแม่ พลทหารประจักษ์ยังได้ทำท่าแสดงความเคารพด้วยท่าตรง พร้อมกับยกมือตะเบ๊ะ (วันทยหัตถ์) หยอกล้อแม่และผู้สื่อข่าว และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ชอบการเป็นทหารหรือไม่ น้องนุกตอบว่า "ชอบ ชอบเป็นรั้วของชาติ" และเมื่อถามว่าอยากกลับไปอีกหรือไม่ น้องนุก ตอบว่า "อยากกลับไปอีก"
ด้าน นายภานุวัติ พูลสวัสดิ์ หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรม จ.ตรัง กล่าวหลังรับหนังสือว่า ทางคุณแม่และน้องได้มายื่นหนังสือ เพื่อขอให้ทางจังหวัดได้ประสานไปยังกองบิน 56 เพื่อขอหนังสือปลดประจำการณ์ให้น้อง โดยมีหลักฐานทั้งบัตรคนพิการประเภท 4 เกี่ยวกับอาการทางจิต และใบรับรองแพทย์ โดยแม่ไม่ต้องการให้น้องกลับไปที่กองบิน 56 อีกแล้ว
ส่วนสาเหตุจะเกิดขึ้นจากอะไร อย่างไร รวมทั้งประเด็นเงินเยียวยา ทางตนเองไม่ทราบ แต่ทราบว่าทางตัวแทน ส.ส.ที่พามาในวันนี้ได้ประสานไปยังคณะกรรมาธิการทหารแล้ว แต่ในส่วนของศูนย์ดำรงธรรมก็จะประสานไปทางกองบิน 56 ในเรื่องนี้ให้ และจะตอบไปให้คุณแม่ของน้องได้ทราบความคืบหน้า
ขณะที่ นายรัฐประชา พุฒนวล ผู้ช่วย ส.ส.ปริญญา ช่วยเกตุ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ปัญหาของ พลทหาร ประจักษ์ หรือ น้องนุก ทางคุณแม่ได้แจ้งพร้อมหลักฐานทั้งบัตรคนพิการ และใบรับรองแพทย์ไปยังกองบินที่ 56 แล้ว แล้วทางกองบินมีความจำเป็นอันใดจะต้องเอาน้องไปประจำการอีก
ซึ่งโดยสภาพของน้อง ทางกองบินควรปลดประจำการให้น้อง ยิ่งทางกองบินกระทำแบบนี้ยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับคุณแม่และครอบครัวของน้องมากขึ้น เนื่องจากสาเหตุเกิดจากภายในกองบิน
หลังวันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา มีทหารเข้าไปที่บ้านเป็นระยะๆ ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง ถือว่าเป็นการคุกคามทำให้คุณแม่ และน้องไม่สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติสุขของประชาชนคนไทยได้ จนคุณแม่ขณะนี้ปิดโทรศัพท์มือถือ ไม่กล้ารับสายของใครเลย เพราะทหารโทรไปหาแม่บ่อยครั้งมาก
ล่าสุด ทาง ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้นำเรื่องของน้องเข้าหารือในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว และกำลังพยายามผลักดันเรื่องเข้าสู่คณะกรรมาธิการทหารอยู่ในระหว่างการยื่นเรื่อง ต้องคาดหวังจากคณะกรรมาธิการ โดยเฉพาะการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอาการบาดเจ็บของน้องที่เกิดขึ้นภายในกองบิน 56 ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร