ผู้เชี่ยวชาญเผย แคมเปญหาเสียงของทรัมป์ อาจกระจายเชื้อ “ไวรัสโคโรนา”

ผู้เชี่ยวชาญเผย แคมเปญหาเสียงของทรัมป์ อาจกระจายเชื้อ “ไวรัสโคโรนา”

ผู้เชี่ยวชาญเผย แคมเปญหาเสียงของทรัมป์ อาจกระจายเชื้อ “ไวรัสโคโรนา”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผู้เชี่ยวชาญเตือน แคมเปญหาเสียงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งการรวมตัวกันทางสังคมอื่นๆ อาจก่อให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโคโรนาอีกครั้งในช่วงฤดูร้อนของสหรัฐอเมริกา

ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อกล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า เชื้อไวรัสโคโรนาจะยังไม่หายไปจากสหรัฐฯ เร็วๆ นี้ และยังไม่มีความแน่นอนว่าการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หลังจากที่มีการเปิดให้ธุรกิจต่างๆ ดำเนินการใหม่อีกครั้ง รวมทั้งจากการประท้วงและการชุมนุมหาเสียงของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่กำลังจะเริ่มขึ้น

“ไวรัสชนิดนี้จะยังไม่หยุดพัก จนกว่าจะแพร่เชื้อสู่ประชากรราว 60 – 70%” ดร.ไมเคิล ที. ออสเตอร์โฮล์ม ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและนโยบายโรคติดเชื้อ มหาวิทยาลัยมินเนโซตา กล่าว

ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า หากไม่มีวัคซีน ราว 70% ของประชากรจะต้องได้รับเชื้อและสร้างภูมิคุ้มกัน เพื่อที่จะหยุดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ซึ่งเป็นแนวคิดที่เรียกว่า “ภูมิคุ้มกันหมู่” (herd immunity) ในขณะที่รายงานของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (C.D.C.) ระบุว่า ตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 ชาวอเมริกันที่ยืนยันแล้ว อยู่ที่กว่า 2 ล้านคน ซึ่งน้อยกว่า 1% ของประชากรสหรัฐ

ดร.ออสเตอร์โฮล์ม กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดเปิดเผยให้เห็นอัตราผู้ป่วยรายใหม่ ที่มีระดับเท่าเดิมใน 8 รัฐ เพิ่มขึ้น 22 รัฐ ส่วนรัฐอื่นๆ ที่เหลือมีอัตราผู้ป่วยน้อยลง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของตัวเลขผู้ป่วยดังกล่าวไม่ได้เป็นเพราะมีการตรวจหาเชื้ออย่างกว้างขวางมากขึ้น แต่เป็นเพราะพัฒนาการอันน่ากังวลใจ จากการที่มีผู้ป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้นในหลายรัฐ

“ณ จุดนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการมีผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล ซึ่งในหลายรัฐก็มีสัญญาณที่จะเป็นเช่นนั้น” ดร.นาฮิด บาเดเลีย ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของแผนกจุลชีพก่อโรคพิเศษ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบอสตัน กล่าว

ด้าน C.D.C. ก็ระบุว่า ภายในวันที่ 4 กรกฎาคม ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในสหรัฐฯ จะก้าวกระโดดจากระดับเดิมคือประมาณ 115,000 ราย ไปสู่ตัวเลขระหว่าง 124,000 - 140,000

ดร.บาเดเลียกล่าวว่า จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นในบางรัฐ โดยเฉพาะรัฐทางใต้และทางตะวันตก ชี้ให้เห็นว่า หลายรัฐลดมาตรการล็อกดาวน์เร็วเกินไป ในขณะที่ยังไม่มีความสามารถในการสืบหาโรคในห่วงโซ่การระบาด และหยุดโรคก่อนที่ประชาชนจะเริ่มรวมตัวกันอีกครั้ง

ทว่า ดร.ออสเตอร์โฮล์ม ระบุว่าสาเหตุต่างๆ ก็ยังไม่ชัดเจน “เราคิดว่าการเปิดเมืองจะทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นหรือไม่ แน่นอนว่าควรจะเป็นอย่างนั้น แต่เราก็มีตัวอย่างของบางรัฐที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น เรายังไม่รู้แน่ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เชื้อไวรัสเคลื่อนไหวอย่างในขณะนี้ในบางรัฐ ขณะที่รัฐอื่นไม่มี”

นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่า ยังไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าการประท้วงต่อต้านการเหยียดสีผิวที่เกิดขึ้นทั่วสหรัฐฯ ส่งผลให้ตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้น พร้อมชี้ว่าระยะฟักตัวของเชื้อโรคอยู่ที่ราว 2 สัปดาห์ และผลจากเชื้อจะเริ่มชัดเจนขึ้นในวันต่อๆ มา นอกจากนี้ การประท้วง Black Lives Matter ยังเกิดขึ้นกลางแจ้ง และผู้ประท้วงหลายคนก็สวมหน้ากาก รวมทั้งมีการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัส จึงน่าจะมีความเสี่ยงน้อยกว่า

“อย่างไรก็ตาม การตะโกน กรีดร้อง การใช้แก๊สน้ำตาหรือควันที่ทำให้ไอ การจับกุมผู้ประท้วงให้รวมตัวกันในห้องขังทั้งคืน ต่างก็เป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเช่นกัน” ดร.ออสเตอร์โฮล์มกล่าว

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การหาเสียงของประธานาธิบดีทรัมป์ ในช่วงสัปดาห์หน้า ที่โอกลาโฮมา น่าจะเป็น “หายนะ” มากกว่า เพราะมีโอกาสสูงกว่าที่เชื้อไวรัสจะแพร่กระจาย เนื่องจากการหาเสียงทำในพื้นที่ปิดขนาดใหญ่ ไม่มีช่องระบายอากาศ และไม่มีการกำหนดให้ผู้ที่เข้าฟังสวมหน้ากาก

ด้าน ดร.บาเดเลียแนะนำว่าควรย้ายไปจัดงานกลางแจ้ง ลดจำนวนคน แนะนำให้ผู้ที่เข้าฟังรักษาระยะห่างระหว่างกัน และสวมหน้ากาก

ติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ COVID-19 ได้ที่นี่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook