"ทนายเดชา-รองแต้ม" ไขคดี "น้องชมพู่" ชี้พิรุธ "ลุงพล" ให้การไม่ตรงกัน

"ทนายเดชา-รองแต้ม" ไขคดี "น้องชมพู่" ชี้พิรุธ "ลุงพล" ให้การไม่ตรงกัน

"ทนายเดชา-รองแต้ม" ไขคดี "น้องชมพู่" ชี้พิรุธ "ลุงพล" ให้การไม่ตรงกัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

รายการ "เรื่องลับมาก (NO CENSOR)" ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14.20  - 15.00 น. ทางเนชั่นทีวี ช่อง 22 วันนี้ (16 มิ.ย.)  "ดร. เสรี วงษ์มณฑา"  เปิดใจสัมภาษณ์ "ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์" เจ้าของเพจทนายคลายทุกข์ และ "พล.ต.ต.วิชัย  สังข์ประไพ" หรือ "รองแต้ม" อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กรณีคดี "น้องชมพู่" ที่มีตัวละครโผล่เยอะแยะมากมาย

ตอนนี้คนทรงออกมาจะทั้งประเทศแล้ว มีผลต่อคดียังไง?

เดชา : "ผมว่าทำให้สังคมสับสน เดี๋ยวจะเข้าใจผิดไปว่าการสืบสวนสอบสวนของตำรวจต้องอาศัยไสยศาสตร์ มันไม่มีผลอะไรต่อคดีหรอก"

พล.ต.ต.วิชัย : "นอกจากจะทำให้สับสนแล้ว บางทีการไปลงในพื้นที่ไปทำลายหลักฐานของคดีด้วย การที่คนทรง หมอ พระไป หลักๆ ตร.ต้องไม่ให้ไปเกี่ยวข้องตรงนี้ด้วย"

น้ำหนักไปลงที่ลุงพล ทำไมไปลงที่คนนี้?

พล.ต.ต.วิชัย : "ต้องเข้าใจว่าตอนเกิดเหตุ มันไม่มีใครเห็นคนร้ายหรือผู้กระทำความผิด เมื่อไม่มีใครเห็น ก็ต้องหาหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์เป็นหลัก ทีนี้เราก็มาวิเคราะห์คดีว่าเด็กชมพู่อายุ 3 ขวบ เขาจะไปตรงจุดนั้นได้ยังไง มันไกลมาก ดังนั้นต้องมีคนพาไป แล้วใครจะพาชมพู่ไป เด็ก 3 ขวบถ้าไปกับคนไม่รู้จักเขาร้องแน่นอนเพราะไม่คุ้นชิน ผมเชื่อว่าคนนำชมพู่ไปต้องเป็นคนใกล้ชิด คุ้นเคย รู้จักกับเด็กชมพู่ เขาถึงไปด้วย ถ้าเป็นคนร้ายก็ได้ เขาอาจเอาของมาล่อ อ้างว่าแม่พ่อให้มารับ หรืออุ้มเอามือปิดปากพาไป แต่ถามว่าถ้าคนร้ายมาในหมู่บ้าน ถ้าใครแปลกๆ ต่างจังหวัดจะเห็นแปลกหน้ามาเขาจะรู้เลย ผมเชื่อว่าคนอุ้มไปน่าจะเป็นคนใกล้ชิด คุ้นเคย เป็นคนชินกลิ่นกัน รู้จักกัน น้องชมพู่ถึงไป"

ลุงพลบอกว่าช่วงเที่ยงเขาขับรถไปส่งพระ?

เดชา : "เขาอ้างสถานที่อยู่ แต่ที่ทราบลึกๆ มา เขาไปพบพนักงานสอบสวนหลายครั้งและพูดไม่ค่อยเหมือนกัน ที่ผมทราบจากวงในนะ ให้การไม่เหมือนกัน ถ้าบอกว่าไปขับรถอะไร แต่พอตร.เรียกไปให้การ ต้องมีการพาดพิงถึงบุคคลอื่น สอบไปสอบมามันก็เลยไม่ใช่ พอไม่ใช่ก็มีพิรุธ ก็เลยเรียกหลายครั้ง เขามีพิรุธมากที่สุด เพราะเขาพูดไม่เหมือนกัน"

อีกคน สมคิดเพิ่งออกจากคุก บอกไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเล่นกับชมพู่ ลุงพลบอกว่าชมพู่เคยเจอ และกลัวด้วย ขณะเดียวกันก็ไม่มีอะไรยืนยันชัดเจนเรื่องไทม์ไลน์?

เดชา : "ก็สงสัยได้ แต่อย่างที่บอกจะเอาเขามาเข้าคุกหรือเอาผิดก็ต้องมีหลักฐาน ถ้าไม่มี ถึงแม้จะรู้ว่าเขาทำ มันก็ทำอะไรเขาไม่ได้ คดีนี้ความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าตร.น่าจะพอรู้ว่าเป็นใคร แต่มันไม่มีหลักฐานไง"

พล.ต.ต.วิชัย : "ผมถามว่าตอนน้องชมพู่เสียชีวิต เรารู้เวลาแน่นอนหรือเปล่า อย่างคาดว่าชมพู่ตาย 12 นาฬิกา รู้ได้ไงว่าชมพู่ตาย 12 นาฬิกา ต้องหาหลักฐานดีเอ็นเอ หรือหลักฐานที่ใครสามารถยืนยันได้ว่าในช่วงก่อนเกิดเหตุ คนนี้ไปอยู่ใกล้ชิดชมพู่ และชมพู่หายไป ประกอบกับดีเอ็นเอด้วย"

ล่วงละเมิดก็ดี รอยแผลอะไรต่างๆ ก็ดี ปรากฏว่าตร.รอบแรกไม่เจออะไร ญาติติดใจสงสัยขอให้ตรวจสอบ ในเชิงกฎหมาย ญาติขอให้ตรวจสอบรอบ 2 ได้มั้ย?

เดชา : "เป็นสิทธิ์ครับ ผ่าสองสามครั้งก็มีตั้งหลายคดี ไม่ว่าจะคดีน้องหญิง คดีนายห้างทองก็เยอะแยะ เป็นสิทธิ์ ตำรวจก็ต้องทำ เพราะเป็นหน้าที่พนักงานสอบสวน ซึ่งหลายคนไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนมีหน้าที่ 2 อย่าง หนึ่งพิสูจน์ความบริสุทธิ์ผู้ต้องหา กับพิสูจน์ความผิดผู้ต้องหา ฉะนั้นต้องทำ ถ้าไม่ทำสังคมก็สงสัยสิ ลูกเขาตายไปคนนึงตรวจอะไรไม่เจอเลยเหรอ"

รอบสองเจอบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศเจอร่องรอยถูกทำร้าย เขาเอาช่องเหลวในช่องคลอดไปหาเชื้ออสุจิ เอาชิ้นเนื้อไปตรวจเพื่อดูว่าการวางยาอะไรต่างๆ มั้ย รอบแรกไม่เจอ รอบสองเจอจะมีผลต่อตร.ยังไงมั้ย?

พล.ต.ต.วิชัย : "พูดตรงๆ ว่ามันก็ดูไม่ดี แต่ถ้าผมเป็นผู้ต้องหา ผมสามารถต่อสู้ได้นะ เพราะผลตรวจดีเอ็นเอสองครั้งไม่เหมือนกัน แต่ถามว่าเกิดเหตุได้มั้ย เกิดได้ เวลาเกิดเหตุต่างจังหวัด ผมเชื่อว่าคดีนี้ตอนแรกๆ ไม่คิดว่าเป็นคดีใหญ่ ก็ตรวจกันไม่ได้ลงรายละเอียดมาก ตอนหลังพอมีการท้วงแย้งจากพ่อแม่ก็มีการตรวจใหม่ แต่ถามว่าการตรวจสองครั้งทำได้มั้ย ทำได้ เพิ่มรายละเอียด แต่คนจะมองและสงสัยว่าการทำงานของตร. ไม่ดี แล้วต่อไปเวลาขึ้นศาลมันจะเป็นข้อต่อสู้ได้"

เดชา : "เท่าที่ทราบหมอคนแรกเขาอ้างเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือ แล้วเขาก็ไปแจ้งความแล้วนะ ดำเนินคดีกับคนไปด่าเขา เป็นคดีแล้ว ไปแจ้งความหมิ่นประมาท พรบ.คอมพิวเตอร์แล้ว มันอาจเกี่ยวกับเครื่องไม้เครื่องมือ เพราะเขาไม่ใช่หมอชันสูตร ไม่ใช่หมอนิติเวชเขาไม่ใช่หมอเฉพาะ อันนี้พนักงานสอบสวนต้องซักให้ละเอียด"

รอบสามทำได้มั้ย?

 พล.ต.ต.วิชัย : "รอบสามไม่น่ามี เพราะเผาไปแล้ว"

เดชา : "แต่เขามีการวิเคราะห์จากภาพจากอะไรได้ และเอาไปดูและเบิกความในศาลได้นะ"

พล.ต.ต.วิชัย : "อาจตรวจที่เกิดเหตุ จากศพผมว่าอาจตรวจลำบาก ตอนแรกเด็กก็เน่าเปื่อยแล้ว การหาหลักฐานก็ยากพอสมควร แต่คดีนี้แปลก นิติเวชไม่บอกว่าเสียชีวิตเพราะอะไร เพราะศพเน่าเปื่อย ตรวจพิสูจน์ลำบาก การลงความเห็นว่าตายเพราะอะไรก็ลำบาก มีอย่างเดียวว่าพบไอ้นั่นไอ้นี่ ต่อจิ๊กซอร์เอา"

อันแรกเศษถุงปุ๋ย ลุงพลบอกว่าในหมู่บ้านก็มีทั้งนั้น รอดมั้ย?

เดชา : "ยังเป็นพยานหลักฐานที่ค่อนข้างห่าง ต้องหาอะไรมาประกอบ ไม่ถึงกับพิสูจน์ความผิดได้ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ตร.ขยายผลต่อไป"

พล.ต.ต.วิชัย : "ผมมองว่าการตรวจที่เกิดเหตุวันแรกอาจตรวจไม่ละเอียด แล้วสองไม่มีการปิดพื้นที่ เราดูหนังต่างประเทศ เขาจะมีกันเลยห้ามเข้าพื้้นที่ เผลอๆ เป็นเดือนนะเข้าไม่ได้ เพื่อไปหาหลักฐาน แต่ของเรานี่ครั้งแรกละเอียดหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วคนก็ไปเดินอะไรต่างๆ หลักฐานอย่างอื่นบางทีเกิดทีหลังก็ได้ พอมาเจอทีหลังการสืบสวนจะแตกประเด็นไปมาก เช่น เจอถุงปุ๋ย ต้องคิดแล้วไอ้ถุงปุ๋ยนี่ใคร เจอเสื้อทหารโดนเผาต้องมาวิเคราะห์ว่าใครในหมู่บ้านใส่เสื้อทหารบ้าง ทหารทำหรือเปล่า มันจะแตกประเด็นไปเรื่อย แต่ถ้าเรารู้ เราเจอวันแรกให้ละเอียด เราสามารถตั้งประเด็นสืบสวนได้ และให้แคบขึ้นได้ การไปตรวจสถานที่เกิดเหตุครั้งแรก หนึ่งขาดความละเอียดรอบคอบ สองไม่กันพื้นที่ ตอนหลังทั้งพระทั้งใครขึ้นไป บางคนขึ้นไปดูดบุหรี่ก็ต้องเอามาตรวจอีก ถ้ากันพื้นที่ไม่ให้ใครเข้า พอเจอหลักฐานก็เอามาเชื่อมโยงได้"

เรื่องปลอกมีด เขาก็สู้ว่าคนในหมู่บ้านมีปลอกมีดทั้งเยอะแยะ?

เดชา : "ถ้าถามส่วนตัวก็ไม่ได้พิสูจน์อะไร นอกจากไปเจอที่ปลอกมีดแล้วเจอเลือด เจอดีเอ็นเอ"

คนบอกว่าจริงๆ ตร.รู้แล้ว แต่เก็บเป็นความลับไม่ให้เสียรูปคดี เป็นไปได้มั้ย?

พล.ต.ต.วิชัย : "ถามว่าเป็นไปได้มั้ยอาจเป็นไปได้ แต่เชื่อมโยงหลักฐานเพื่อเอาความผิด ตรงนี้ตร.อาจยังไม่ทำ เพราะถ้าทำไปอาจเสียรูปคดี หรือคดีหลุดทีหลังก็จะไม่ดี เขาต้องหาหลักฐานมัดให้แน่น แต่ถามว่ารู้แล้วมีหลักฐานจะอุบเอาไว้ทำไม ไม่อุบหรอก ถ้ารู้แล้วมีหลักฐานเชื่อมโยงก็จับไปแล้ว"

3 ขวบขึ้นไปตรงนั้นได้มั้ย?

พล.ต.ต.วิชัย : "ยาก ทำไมน้องต้องแก้ผ้า ตอนไปรองเท้าก็ตกกลางทาง ถามว่าน้องจะถอดรองเท้ากลางทางทำไม อาจมีคนอุ้มไปแล้วรองเท้าหลุดก็ได้ เชื่อว่าเด็กชมพู่ต้องถูกอุ้มไป เดินไปเองไม่ได้ เมื่อไม่มีพยานหลักฐานอื่นอะไรอื่น เขาก็สามารถหลุดได้ แต่ถ้าสืบสวนละเอียด สามารถรู้ตัวคนร้ายได้ เอาล่ะ สิ่งที่เดินมาหลงทาง ขณะนี้ผมทราบว่าตร.ใช้ฝ่ายสืบสวนส่วนกลางลงไปแล้ว ผมว่าเดี๋ยวคงมาตั้งต้นไทม์ไลน์กันใหม่ สอบกันใหม่หมด ผมเชื่อว่าเดี๋ยวต้องมีข่าวดีบ้าง ท่านจักรทิพย์ส่งไปทีมเก่งๆ เขามีเทคนิคในการสอบสวนสืบสวน เดี๋ยวจะใกล้ตัวมากขึ้น คิดว่าการทำงานบางทีต้องให้เกียรติในพื้นที่เขาทำ แต่ถ้าไม่ก้าวหน้าก็สามารถส่งหน่วยที่มีความรู้ความสามารถลงไป"

ถึงเวลาส่งฟ้องหรือยัง?

เดชา : "ยัง เพราะประจักษ์พยานไม่มี พยานแวดล้อมก็ไม่มี พยานวัตถุก็ไม่ชัด นิติวิทยาศาสตร์ก็บอกอะไรไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลา อย่าไปเร่งรีบ เดี๋ยวผิดคนคดีจะเสียไปเลย แต่คดีนี้เท่าที่ตั้งข้อสังเกต มันไม่มีเรื่องโทรศัพท์มือถือ ถ้าคนร้ายมีโทรศัพท์มือถือมันจะง่ายขึ้น"

เวลานี้ ตร.ควรชะลอไปก่อน?

เดชา : "เท่าที่ทราบกำลังสืบสวนในทางลับให้ได้หลักฐานมากกว่านี้ เสียดายคนร้ายไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือไปด้วย"

ตร.จะโดนด่ามั้ยคดีช้า?

พล.ต.ต.วิชัย : "ตอนนี้สังคมมองอยู่แล้วว่าตร.ช้า จับกุมคนร้ายไม่ได้ การจับกุมคนร้ายช้าเร็วไม่สำคัญ ต้องรู้ก่อนว่าใครเป็นร้าย แต่ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนร้าย อย่าไปมองว่าจับช้า ความกดดันอยู่ที่ใคร หนึ่งตร. คุณทำงานล่าช้า ผิดพลาดหรือไม่ สองกดดันกับพี่น้องประชาชนที่มองตร.ยังไง สามกดดันคนในชุมชน ต่อไปลูกเต้าที่อยู่บ้านจะเป็นยังไง ความกดดันทั้งหมดจะมาลงที่ตร. จับช้าไม่เป็นไร ขอให้รู้ก่อนว่าคนร้ายเป็นใคร"

ทนายคิดว่าจะได้ตัวคนร้ายมั้ย?

เดชา : "สถานการณ์ตอนนี้เท่าที่ทราบคือยัง ต้องใช้เวลา หรือไม่ก็รอจนเขาไปกระทำความผิดอีกครั้งหนึ่ง ก็ไม่แน่ อาจไปทำความผิดเพิ่มก็ได้ คนพวกนี้มีอาการทางจิตไง"

คนที่เอ่ยชื่อมาทั้งหมด มองว่าใครรอดยาก?

เดชา : "พูดไปเดี๋ยวจะหมิ่นประมาท แต่ที่น่าสงสัยที่สุดคือคนไปพบพนักงานสอบสวนหลายครั้งแล้วไม่ซ้ำกัน ถ้าไปบอกว่าเป็นเขาเดี๋ยวต้องไปศาล (หัวเราะ)"

รองแต้มคิดว่าจะมีโอกาสสักคนมั้ย?

พล.ต.ต.วิชัย : "ผมเชื่อว่าตอนนี้ตร.ทิ้งน้ำหนักมาที่ต้องสงสัยอย่างน้อย 80 เปอร์เซ็นต์ว่าน่าจะใช่ แต่อีก 20 เปอร์เซ็นต์อาจจะยังไม่เจอ"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook