ศาลปค.สูงสุดไม่รับอุทธรณ์โอ๊ค-เอม เป็นคู่โต้แย้งสิทธิคดีSCB

ศาลปค.สูงสุดไม่รับอุทธรณ์โอ๊ค-เอม เป็นคู่โต้แย้งสิทธิคดีSCB

ศาลปค.สูงสุดไม่รับอุทธรณ์โอ๊ค-เอม เป็นคู่โต้แย้งสิทธิคดีSCB
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ศาลปกครองสูงสุด ตัดสินยืนไม่รับอุทธรณ์ลูก ทักษิณ ขอเป็นคู่กรณีโต้แย้งสิทธิ คดีแบงค์SCB ระงับจ่ายเงิน1.2หมื่นล้านในบัญชี ชำระภาษีหุ้นชินฯ

ที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลปกครองสูงสุด โดย นายจรัญ หัตกรรม ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด เจ้าของสำนวน มีคำสั่งเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา ให้ยกคำอุทธรณ์ที่นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขอให้ศาลมีคำสั่งรับทั้งสองคนเป็นผู้ร้องสอด เพื่อเป็นคู่กรณีโต้แย้งสิทธิว่าธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) ไม่มีสิทธิยื่นฟ้องคดีหมายเลขดำ 1328/2551 ต่อศาลปกครองกลาง ที่ขอให้ศาลสั่งธนาคาร ระงับการส่งเงินบัญชีของทั้งสองคนเพื่อชำระค่าภาษีอากรค้าง เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มที่คำนวณจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2550 ของนายพานทองแท้ จำนวน 6,075,498,993.21 บาท และน.ส.พินทองทา จำนวน 6,075,236,235.38 บาท ตามคำสั่งอายัดของกรมสรรพากร ที่ซ้ำซ้อนคำสั่งอายัดทรัพย์สินคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)

โดยนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ยื่นคำอุทธรณ์อ้างว่า เนื่องจากทั้งสองเป็นเจ้าของทรัพย์ การที่ศาลปกครองกลาง ไม่รับคำร้องสอดให้ทั้งสองเป็นคู่กรณี เพราะเห็นว่าคดีที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ฟ้องกรมสรรพากร คดีหมายเลขดำ 1328/2551 นั้น มีประเด็นพิพาทที่ศาลต้องวินิจฉัยว่าคำสั่งอายัดกรมสรรพากร ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งหากศาลพิพากษาเป็นอย่างไรก็ตาม ผลคำพิพากษาก็ไม่มีผลกระทบที่จะเปลี่ยนแปลงสิทธิในบัญชีเงินฝากของทั้งสองแต่อย่างใดนั้นไม่เห็นด้วย เพราะทั้งสองเห็นว่า การวินิจฉัยเนื้อหาของคดีนั้นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเสียก่อนว่าคำสั่งอายัดของ คตส. ชอบด้วยกฎหมาย และยังมีผลให้ใช้บังคับอยู่หรือไม่

ซึ่งทั้งสองเห็นว่าคำสั่งอายัดของคตส.ไม่มีผลแล้ว ทำให้คำสั่งอายัดของกรมสรรพากรมีผลเหนือกว่า ดังนั้นคำสั่งอายัดของคตส.จึงมีผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิในทรัพย์สินของทั้งสอง เพราะหากศาลมีคำพิพากษาว่าคำสั่งอายัดคตส.ชอบหรือไม่ชอบแต่สิ้นผลไปแล้ว ก็จะทำให้ทั้งสองคนสามารถนำเงินในบัญชีไปชำระหนี้ภาษีอากรค้างตามที่กรมสรรพากรมีคำสั่งอายัดได้ และทั้งสองไม่ต้องรับผิดในเงินเพิ่มภาษีอีกต่อไป กรณีจึงถือได้ว่าทั้งสองคน เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อน

ขณะที่ศาลปกครองสูงสุด พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในคดีข้อพิพาทเกี่ยวกับคำสั่งอายัดทรัพย์นั้น แม้ว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งอายัดของกรมสรรพากร ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อสิทธิของ นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ในเงินฝากตามบัญชีที่คตส.มีคำสั่งอายัดไว้ ตามที่ทั้งสองกล่าวอ้างว่า ทั้งสองเป็นเจ้าของทรัพย์ การที่คตส. มีคำสั่งอายัด ย่อมถือได้ว่าทั้งสองได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จึงไม่จำเป็นที่ทั้งสองคนต้องเข้ามาร้องสอดเป็นคู่กรณีเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองหรือบังคับ รับรองตามสิทธิของตนที่มีต่อเงินฝาก

อีกทั้ง นายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตามกฎหมายของผลคดีดังกล่าว ศาลจึงไม่อาจรับคำร้องสอดของทั้งสองคนไว้พิจารณาได้ คำอุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่กรณีนั้นชอบแล้ว ศาลปกครองสูงสุด จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีเรื่องอายัดทรัพย์นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ที่ ธ.ไทยพาณิชย์ ยื่นฟ้องกรมสรรพากรนั้น ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเมื่อวันที่ 15 ม.ค.52 ยืนตามศาลปกครองกลาง ให้คุ้มครองชั่วคราว สั่งธนาคารระงับการส่งเงินในบัญชีของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท ที่คตส.มีคำสั่งวันที่ 11 มิ.ย.50 อายัดเงินในบัญชีฝากธนาคารของครอบครัว บุตร บริวาร ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด ( มหาชน) ให้แก่กองทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ เพื่อชำระภาษีกับกรมสรรพากร ผู้ถูกฟ้อง จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

ขณะที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาวันที่ 2 เม.ย.52 ยืนตามศาลปกครองกลาง ไม่รับฟ้องคดีที่นายพานทองแท้ ยื่นฟ้อง กรมสรรพากร , นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร และ เจ้าพนักงานสรรพากรรวม 7 คน เรื่องออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีร่วมกันออกคำสั่งแต่งตั้งเจ้าพนักงานประเมินและเรียกเก็บภาษีเงินได้ นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา จากการซื้อหุ้น บมจ. ชินคอร์ป ฯ มาจาก บริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เม้น จำกัด เมื่อวันที่ 20 ม.ค.49 คนละ 164 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 1 บาทด้วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook