บทบาทผู้นำกองทัพสหรัฐฯ ชัดเจนไม่ทำรัฐประหาร แถมยังมุ่งถอยห่างจากการเมือง

บทบาทผู้นำกองทัพสหรัฐฯ ชัดเจนไม่ทำรัฐประหาร แถมยังมุ่งถอยห่างจากการเมือง

บทบาทผู้นำกองทัพสหรัฐฯ ชัดเจนไม่ทำรัฐประหาร แถมยังมุ่งถอยห่างจากการเมือง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศที่มีประเพณีพลเรือนควบคุมทหารอย่างเข้มแข็ง โดยประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่มีอำนาจเต็ม (สำหรับประเทศไทยนั้น ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมักไม่มีอำนาจเพราะอำนาจมักอยู่ในมือผู้บัญชาการทหารบก เนื่องจากกองทัพบกมีกำลังพลมากที่สุดนั่นเอง) และมีกระทรวงกลาโหมทำหน้าที่เป็นองค์กรหลักซึ่งนำนโยบายทางทหารไปปฏิบัติ

กระทรวงกลาโหมมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นพลเรือนและอยู่ในคณะรัฐมนตรี เป็นเจ้ากระทรวง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอยู่ในอันดับที่สองของสายการบังคับบัญชาของทหาร เป็นรองแต่เพียงประธานาธิบดี และทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหลักของประธานาธิบดีในกิจการทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ

นอกจากผู้บังคับบัญชาทหารโดยตรง 2 คนที่สูงสุดแล้ว ก็ยังมีรัฐมนตรีทบวงกองทัพอีก 3 คนที่เป็นผู้บังคับบัญชาทหารแต่ละเหล่าทัพโดยตรงคือ รัฐมนตรีทบวงทหารบก, รัฐมนตรีทบวงทหารเรือ และรัฐมนตรีทบวงทหารอากาศ แล้วจึงถึงขั้นของทหารจริงๆ คือ เสนาธิการทหารร่วม (Joint Chiefs of Staff) 7 คน ซึ่งก็ทำหน้าที่เป็นเสนาธิการ คือ เป็นที่ปรึกษาช่วยในการวางแผนต่างๆ ให้ฝ่ายบริหาร นั่นก็คือ ประธานาธิบดีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตลอดจนรัฐมนตรีทบวงกองทัพต่างๆ เพื่อสั่งการ

ในเมื่อการควบคุมบังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพอยู่ในมือของพลเรือนถึง 3 ระดับคือ ประธานาธิบดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการทบวงกองทัพต่างๆ จึงทำให้การคิดที่จะทำรัฐประหารเกิดขึ้นได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นบรรดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีว่าการทบวงกองทัพต่างๆ นั้น ยังมีกฎหมายบังคับอีกว่าหากเคยเป็นทหารมาก่อน ต้องปลดประจำการมาแล้วไม่ต่ำกว่า 7 ปี (อ้างใน National Security Act of 1947) แบบว่าไม่ให้เหลืออิทธิพลดั้งเดิมที่เคยอยู่เป็นทหารเลยก็ว่าได้

นอกจากนี้ การควบคุมงบประมาณของรัฐสภาสหรัฐฯ นั้นไม่มีการอ้างงบสืบราชการลับแบบลอยๆ ที่เปิดเผยไม่ได้โดยเด็ดขาด ดังนั้นการใช้เงินสืบราชการลับในการทำรัฐประหารจึงไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน

สาเหตุที่เล่าเรื่องการควบคุมทหารของสหรัฐอเมริกาขึ้นมา เนื่องจากเมื่อเช้าวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และคณะเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระดับสูงได้เดินเท้าจากทำเนียบขาวไปยังโบสถ์เซ็นต์จอห์นเพื่อที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะได้ไปให้สื่อมวลชนถ่ายรูปของตัวเองยืนถือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลในมือ เพื่อโปรโมทภาพลักษณ์ของตัวเองว่าเป็นผู้เคร่งศาสนาและจะป้องกันศาสนาจากฝูงชนที่บ้าคลั่ง เนื่องจากมีประชาชนมาชุมนุมคัดค้านอยู่ที่สวนสาธารณะลาฟาแยตต์ที่ตั้งอยู่ใกล้ทำเนียบขาวและโบสถ์เซ็นต์จอห์นโดยสงบ เพื่อประท้วงกรณีที่นายจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำผู้เสียชีวิตขณะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวจับกุมโดยใช้ความรุนแรง เมื่อปลายเดือนก่อนที่เมืองมินนีแอโปลิส มลรัฐมินนิโซตา

หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารใช้กำลังและแก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุมโดยสงบของประชาชนในบริเวณสวนสาธารณะลาฟาแยตต์เพื่อเปิดทางให้ผู้นำสหรัฐฯ ยกขบวนไปถ่ายรูปตัวเองถือไบเบิ้ลหน้าโบสถ์เซ็นต์จอห์นเท่านั้น

ประธานาธิบดีทรัมป์ ระหว่างเดินไปยังโบสถ์เซนต์จอห์นAFPประธานาธิบดีทรัมป์ ระหว่างเดินไปยังโบสถ์เซนต์จอห์น

ในวันเดียวกันนั้นเอง นายมาร์ค เอสเปอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกมาแถลงว่า ตัวเขาเองไม่สนับสนุนการใช้กำลังทหารเพื่อสลายการชุมนุมทั่วประเทศ ซึ่งเป็นแนวคิดของประธานาธิบดีทรัมป์แต่ผู้เดียว และชี้ว่าวิธีดังกล่าวควรจะเป็นมาตรการสุดท้ายที่จะเลือกมาใช้หากสถานการณ์เลวร้ายเกินกว่าควบคุมได้

แต่ในขณะนี้ยังไม่เป็นเช่นนั้น โดยตัวของนายมาร์ค เอสเปอร์ ยังกล่าวถึงการที่เขาปรากฏอยู่ในภาพถ่ายร่วมกับผู้นำสหรัฐฯ ณ โบสถ์เซนต์จอห์น ว่า ตนไม่ทราบมาก่อนว่าจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของแผนการถ่ายรูปที่หน้าโบสถ์เซนต์จอห์น โดยตอนนั้นตนคิดว่ากำลังจะเดินไปตรวจสอบความเสียหายบริเวณโบสถ์ดังกล่าว และร่วมประสานกับกองกำลังทหารของเนชันแนลการ์ดในบริเวณนั้นเท่านั้น

อีกสามวันต่อมา พลเอก มาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐฯ ผู้เป็นทหารที่มีตำแหน่งสูงสุดได้ออกมายอมรับว่า เขาทำผิดที่เดินร่วมคณะไปกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากทำเนียบขาวไปยังโบสถ์ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของสวนสาธารณะลาฟาแยตต์ ระหว่างที่กำลังเกิดการประท้วงบริเวณหน้าทำเนียบขาว เพราะทำให้เกิดภาพว่ากองทัพกำลังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองภายในประเทศ และกองทัพไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง รวมทั้งในฐานะที่เป็นบุคคลในเครื่องแบบ ตนถือว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และเป็นบทเรียนสำหรับตนซึ่งหวังว่าทุกคนจะได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ด้วย

ครับ! ได้อ่านคำแถลงของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐฯ แล้ว ผู้เขียนผู้เป็นคนไทยอาศัยอยู่ในประเทศไทยมาตั้งแต่เกิดนึกว่าฝันไปครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook