ศาลประจวบฯ ไม่ให้ประกันตัวลูกจ้างสาวยักยอกเงิน 33 ล้าน แหล่งข่าวเชื่อไม่ได้ทำคนเดียว
ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไม่ให้ประกันตัวลูกจ้างสาว คดียักยอกเงิน 33 ล้านบาท ควบคุมตัว ฝากขังเรือนจำประจวบคีรีขันธ์ทันที เจ้าตัวมีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่พูดจา ญาติไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ขณะที่แหล่งข่าวเผยไม่เชื่อว่าทำคนเดียว
วันที่ 22 มิถุนายน 2563 จากกรณี นางสาวขนิษฐา (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี พนักงานราชการ ตำแหน่งพนักงานวิชาการการเงินและบัญชี สำนักงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ยักยอกงบประมาณราชการ จำนวน 33 ล้านบาท ต่อมา นางกัลยารัตน์ นิลอ่อน หัวหน้าสำนักงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ และ ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ออกหมายจับที่ จ. 47/63 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2563 ในข้อหายักยอกทรัพย์ ปลอมเอกสารของทางราชการ และใช้เอกสารปลอม กระทั่งนำมาสู่การจับกุมตัวเมื่อคืนวันที่ 20 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมานั้น
ล่าสุดช่วงเมื่อเย็นวันนี้ เวลา 17.30 น. หลังจากที่พนักงานสอบสวน สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ได้สอบปากคำผู้ต้องหาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ร.ต.อ.หญิง สุภาภรณ์ ดวงกันยา รองสารวัตร(สอบสวน) สภ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ได้นำตัวสาวลูกจ้าง ซึ่งสวมเสื้อยืดสีชมพู เสื้อนอกสีเขียวแขนยาว กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะ และสวมหมวกปิดบังใบหน้า ออกจากห้องสอบสวน ควบคุมตัวขึ้นรถยนต์ตราโล่ เพื่อไปฝากขังที่เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไม่อนุญาตให้ประกันตัว โดยพบว่าสาวลูกจ้างสำนักงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีสีหน้าเคร่งเครียด ก้มหน้าหลบสายตาสื่อมวลชนที่ไปรอทำข่าวเป็นจำนวนมาก
ขณะที่ญาติหลายคนได้เดินทางมาเยี่ยมและให้กำลังใจ ระหว่างถูกควบคุมตัวสอบปากคำ และปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลหรือให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยได้ติดตามไปส่งถึงหน้าประตู 1 เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
สำหรับสาวลูกจ้างสำนักงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รายนี้ เบื้องต้นถูกตั้งข้อหา ยักยอกทรัพย์ ปลอมเอกสารของทางราชการ และใช้เอกสารปลอม พนักงานสอบสวนนำตัวฝากขังผลัดแรก เป็นระยะเวลา 12 วัน ซึ่งหากมีหลักฐานเพิ่ม อาจมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติม หรือจับกุมผู้เกี่ยวข้องรายอื่นเพิ่มเติมได้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า แหล่งข่าวรายหนึ่งซึ่งรู้จัก สาวลูกจ้างสำนักงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยได้ระบุว่า น.ส.ขนิษฐา ดำเนินชีวิตปกติทั่วไป ประหยัด ไม่หรูหรา ขี่รถจักรยานยนต์คันเล็กไปทำงาน ทำให้ไม่มีความผิดสังเกตใดๆ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะสามารถนำเงินออกจากระบบการเบิกจ่าย ได้มากขนาดนี้ และยิ่งเป็นลูกจ้างระดับปฏิบัติการด้วยแล้ว ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้ ทำให้เชื่อได้ว่า อาจจะมีบุคคลรู้เห็นหรือเกี่ยวข้อง เพราะขั้นตอนการเบิกจ่ายหรือโอนเงินระบบอิเล็กทรอนิกส์ ค่อนข้างซับซ้อน ไม่น่าทำได้ตามลำพังคนเดียว การออกมายอมรับคนเดียวนี้ อาจเป็นการตัดตอนผู้กระทำผิด เพราะสังคมและคนรอบข้างตั้งข้อสังเกตว่า การยักยอกเงินจำนวนมากถึง 33 ล้านบาท ในระยะเวลา 1 ปี โดยไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต เป็นไปได้ยากมาก การจับไม่ได้ก่อนหน้านี้ถือเป็นสิ่งที่ผิดปกติ