สรุปรถถูกสวมทะเบียน จอย ศิริลักษณ์พบตร. ยันไม่เคยฝ่าไฟแดง
จอย ศิริลักษณ์ รุดพบตร.ชี้แจงกรณีรถฝ่าไฟแดงแยกนิด้า ยันถูกคนอื่นสวมทะเบียน บก.จร.สอบแล้ว สรุปรถถูกสวมทะเบียนจริง ส่วน จอย พูดผ่านทีวี จะไปพบตำรวจจราจร ยันโดนสวมทะเบียนแน่ๆ แฉวันเวลาดังกล่าวไม่เคยขับรถไปย่านนั้น หวั่นโดนคนร้ายติดป้ายทะเบียนแล้วนำไปก่อเหตุอื่นอีก กรมการขนส่งทางบกยอมรับมีรถถูกสวมทะเบียนปลอมจริง เตรียมลงโทษจนท.ที่รู้เห็นแล้ว
จากกรณีน.ส.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค หรือ จอย นักแสดงสาวชื่อดังอ้างว่ารถเก๋งของตนถูกสวมทะเบียน แล้วนำไปขับฝ่าสัญญาณจราจร ที่แยกสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ถนนเสรีไทย แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม. เหตุเกิดในเวลา 10.28 น.วันที่ 16 ส.ค.ที่ผ่านมา แล้วถูกตำรวจจราจรออกหมายเรียกไปที่บ้าน แจ้งให้ไปเสียค่าปรับในข้อหาขับรถฝ่าสัญญาณไฟแดง ทั้งที่ไม่ได้กระทำดังกล่าว
เมื่อเวลา 09.15 น.วันที่ 31 ส.ค. วันเดียว กัน "จอย"ศิริลักษณ์ เล่ารายละเอียดผ่านรายการบุษบายามเช้า ทีวี 5 ถึงเรื่องถูกหมายเรียกฝ่าไฟแดงอีกครั้งว่า "ช่วงนี้จอยมีงานถ่ายละครในพื้นที่โซนรังสิต หรือ อ.ปากช่อง จ.นครราช สีมา ออกไปทางนั้น พอกลับมาถึงบ้านซึ่งอยู่ในพื้นที่วังทองหลาง ก็มีจ.ม.ส่งมาเป็นหมายเรียก บอกให้เราไปเสียค่าปรับว่าเราไปขับรถฝ่าไฟแดงแถวแยกนิด้า จอยก็คิดว่าจะต้องหาเวลาไปเสียค่าปรับ เพราะดูจากรูปถ่ายในหมายเรียกเผินๆ ที่เป็นรูปสี ยี่ห้อ ทะเบียนที่ซูมมาดูแล้วคล้ายรถเราจริงๆ แต่มานั่งทบทวนดูแล้วแยกนิด้าเราไม่ได้ไปนี่นา ก็เลยมานั่งดูรูปในหมายเรียกอีกครั้ง จึงเห็นความแตกต่างของรถในรูป ซึ่งมันมีรายละเอียดหลายจุดที่ไม่ใช่รถของเรา ในความแตกต่างที่เห็นคือ ไฟท้ายไม่เหมือนกัน เสาอากาศรถไม่เหมือนกัน ป้ายทะเบียนก็ไม่เหมือนกัน เพราะในรูปภาพในหมายเรียกจะมีกรอบครอบ ทำให้แลดูผิดเพี้ยนไปได้สำหรับตัวอักษรแลเห็นเหมือน ศอ. 6000 กทม. เหมือนทะเบียนรถจอยได้ ซึ่งป้ายทะเบียนของจอยเป็นป้ายกราฟิก ซึ่งเป็นป้ายที่มีการประมูลมา ทำให้แลเห็นว่ามีข้อแตกต่างกันหลายๆ จุดด้วยกัน"
ดาราสาวกล่าวต่อไปว่า ตนมาดูแล้วคิดว่าบังเอิญกรอบล้อมทะเบียนในรูปนั้นอาจทำให้คุณตำรวจแลดูเผินๆ เห็นว่ารถคันดังกล่าวเป็น ศอ. ป้ายอาจครอบหรือปิดป้ายหางตัวอักษร เช่น จริงๆ อาจเป็น คอ.หรือศฮ. อะไรก็ตาม ตนไม่ทราบ เราจะต้องไปแย้งในเรื่องนี้ที่บก.จร. โดยจะไปพบ ผบก.จร.ในวันเดียวกันนี้ เพื่อแย้งในเรื่องของหมายเรียกเสียค่าปรับฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงดังกล่าว ส่วนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาออกเป็นข่าวเนื่องจากจอยหยุดงานไม่มีถ่ายละคร ต้องการที่จะไปจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ เลยปรึกษาพี่ตำรวจที่รู้จักกัน ว่าเราจะต้องทำอย่างไรบ้าง อาจจะมีสิ่งผิดพลาด อาจเป็นป้ายทะเบียนใกล้เคียงกัน และบังเอิญเป็นรถรุ่นเดียวกัน สีเดียวกัน เมื่อไปปรึกษาพี่ตำรวจแล้วเราก็เลยลงประจำวันเอาไว้ก่อน ถ้ารถของเราต่างจากรถที่ถูกหมายเรียก เพื่อป้องกันว่าถ้ามีคนสวมทะเบียนรถของเราแล้วเอาไปก่อเหตุคดีที่ผิดกฎหมาย ร้ายแรงกว่านี้ เราจะได้ไม่ต้องยุ่งยากภายหลัง
"พี่ตำรวจที่จอยไป ปรึกษาเมื่อวันเสาร์ช่วยดูรูปในหมายเรียกก็เห็นเช่นกันว่ากรอบป้ายอาจปิดบัง ส่วนอื่นของตัวอักษรได้ แต่เนื่องจากไม่ได้มีหน้าที่ในการตรวจสอบทะเบียนหรือพิสูจน์ เพราะจดหมายเรียกเสียค่าปรับไม่ได้ออกจากเขา จอยมีความเป็นห่วงว่ารถอาจจะถูกสวมทะเบียนแล้วอาจไปทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ เหมือนกับที่ตำรวจจราจรเข้าใจผิด และออกจดหมายเรียกให้มาเสียค่าปรับได้ เราจึงลงบันทึกประจำเอาไว้ และในเดียวกันนี้ จอยจะเดินทางไปพบ ผบก.จร.ที่บก.จร.ถนนวิภาวดีฯ เพื่อตรวจสอบภาพถ่ายในหมายเรียกกับรถที่จอยใช้อยู่" จอย กล่าว
ด้าน นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยถึงกรณีที่จอย ศิริลักษณ์ สงสัยว่ารถจะถูกสวมทะเบียนปลอม ว่า ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีการสวมทะเบียนปลอม ที่ผ่านมากรมก็เคยลงโทษขั้นไล่ออกเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสวม ทะเบียน แต่ส่วนใหญ่การปลอมทะเบียนและสวมทะเบียนจะทำได้ง่าย โดยคนทั่วไป ไม่ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ของกรมและจะทำในรถยี่ห้อ รุ่นและสีเดียวกับรถที่ใช้ทะเบียนจริง เพื่อให้ยากต่อการตรวจสอบ แต่กรณีของนักแสดงสาวทราบว่าเป็นรุ่นยี่ห้อเดียวกันแต่คนละรุ่นซึ่งไม่ค่อยเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม กรมก็พร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของกรมมี ส่วนร่วมในการกระทำความผิดก็พร้อมจะดำเนินการลงโทษให้ถึงที่สุด
ด้าน พล.ต.ต.วีระพัฒน์ เปิดเผยว่า หลังจากตรวจสอบภาพรถโตโยต้า ยาริส สีแดง หมาย เลขทะเบียน ศอ-6000 กทม. จากกล้องวงจรปิดที่แยก นิด้า ถนนเสรีไทย แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม. จับภาพเอาไว้ได้ขณะขับฝ่าไฟแดง เวลา 10.28 น.ของ วันที่ 16 ส.ค.52 กับรถของน.ส.ศิริลักษณ์ นั้น พบว่ามีจุดต้องสงสัยหลายจุดด้วยกัน เริ่มจากเรื่องหมายเลขทะเบียน โดยกรอบหมายเลขทะเบียนของรถในภาพนั้นอาจจะไปบังหางอักษรตัว "ศ"อยู่ จึงอาจเป็นไปได้ว่า รถคันดังกล่าวนั้นอาจจะใช้หมายเลขทะเบียน คอ-6000 กทม. แต่จากการตรวจสอบแล้วก็ไม่พบรถหมายเลขทะเบียนดังกล่าวอยู่ในสารบบแต่อย่างใด นอกจากนี้ก็ได้ตรวจสอบหมายเลขทะเบียนอื่นๆ ที่หมวดอักษรที่ใกล้เคียงกัน ได้แก่ ศฮ-6000 กทม. ก็พบว่าเป็นทะเบียนของรถเก๋ง ยี่ห้อมาสด้า 3 สีดำ และ "คฮ-6000 กทม." ก็ไม่พบว่า มีอยู่ในสารบบแต่อย่างใด นอกจากนี้จากการตรวจสอบรถโตโยต้า ยาริส คันที่ขับฝ่าไฟแดง กับรถของน.ส. ศิริลักษณ์ นั้นก็พบว่า มีอย่างน้อย 5 จุด ด้วยกันที่ไม่ตรงกัน เริ่มจากจุดแรก คือไฟท้ายไม่เหมือนกัน โดยรถของน.ส.ศิริลักษณ์ นั้นเป็นไฟท้ายแต่งใหม่ ส่วนรถคันในภาพ เป็นแบบเดิม จุดที่สองคือ ชุดแต่งด้านหลังหรือสเกิร์ตหลังนั้นไม่เหมือนกัน โดยของน.ส.ศิริลักษณ์ เป็นชุดแต่งแบบเต็ม ส่วนรถในภาพมีส่วนเปิดช่องว่างเอาไว้ ส่วนจุดที่ 3 คือ กรอบหมายเลขทะเบียนกรอบ โดยทะเบียนรถในหมายเรียกเป็นป้ายทะเบียนขาว มีกรอบล้อมรอบ แต่รถของน.ส.ศิริลักษณ์ เป็นป้ายทะเบียนมีลายกราฟิก แต่ไม่มีกรอบ
พล.ต.ต.วีระพัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับจุดที่ 4 คือตัวอักษรรุ่นที่แต่งกันชัดเจน โดยรถในภาพใช้รุ่นยาริสเหมือนเดิม แต่ของ น.ส.ศิริลักษณ์ เปลี่ยนเป็นตัวอักษร "วิตซ์ (VITZ") ซึ่งเป็นชื่อรุ่นที่ประเทศญี่ปุ่นใช้เรียกแทน "ยาริส" และจุดที่ 5 คือเสาอากาศรถทั้ง 2 คันไม่เหมือนกัน โดยรถในภาพไม่มีเสาอาาศ ส่วนของน.ส.ศิริลักษณ์ มีเสาอากาศ นอกจากนี้ยังมีจุดอื่นๆ อีกเช่น สติ๊กเกอร์ติดหลังรถ กับล้อแม็กซ์ที่ลายไม่ตรงกัน เมื่อตรวจสอบแล้วไม่ตรงกัน ก็น่าจะเป็นไปได้ว่า รถคันที่ขับฝ่าไฟแดงนั้น เป็นรถที่ถูกโจรกรรมมาแล้วนำมาสวมทะเบียน หรือเป็นรถที่หลบเลี่ยงภาษี ซึ่งทางตำรวจก็จะต้องอายัดหมายเรียกดังกล่าวคืนมาจาก น.ส.ศิริลักษณ์ พร้อมทั้งส่งข้อมูลเรื่องดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการ โจรกรรมรถยนต์ ดำเนินการติดตามจับกุมรถคันดังกล่าวต่อไป แต่หากรถคันดังกล่าวถูกโจรกรรมมานั้น ขณะนี้เจ้าของก็น่าจะรู้ตัวและรีบนำไปเปลี่ยนหมายเลขทะเบียนแล้ว หรือหากเป็นการหลบหลบเลี่ยงภาษี เจ้าของรถก็อาจจะนำไปจดทะเบียนเพื่อให้ได้หมายเลขทะเบียนที่ถูกต้องมาใช้
พล.ต.ต.วีระพัฒน์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาหลังจากส่งหมายเรียกไปแล้วประมาณ 3 แสนใบ แต่พบกรณีแบบนี้เพียง 2-3 รายเท่านั้น คือ เคยมีรถเก๋งยี่ห้อวอลโว่คันหนึ่งถูกกล้องวงจรปิดจับภาพได้ขณะขับฝ่าไฟแดง แต่เมื่อมาตรวจสอบแล้วพบว่า รถคันที่อยู่ในภาพ กับรถของผู้เสียหายนั้น มีท่อไอเสียอยู่คนละด้าน ส่วนอีกรายคือรถยี่ห้อ สี และหมายเลขทะเบียนเดียวกัน ถูกจับภาพขณะขับฝ่าไฟแดงที่แยกโชคชัย กับแยกประดิพัทธ์ ในระยะห่างกันเพียงแค่ 3 นาที ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่า ก่อนจะออกหมายเรียกส่งไปที่บ้านของเจ้าของรถนั้น มีการตรวจสอบข้อมูลแล้วทุกครั้ง ไม่มั่วแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้หากตรวจสอบพบว่า เมื่อออกหมายเรียกไป แล้วทางเจ้าของรถคันดังกล่าวนั้นนำรถไปดัดแปลงเพื่อไม่ให้ตรงกับภาพในหมาย เรียก แล้วนำมาแจ้งกับตำรวจนั้น ก็จะต้องถูกดำเนินข้อหาแจ้งเท็จอีกด้วย