แคลิฟอร์เนียสั่งปิด “ธุรกิจภายในอาคาร” หลังเจอ “โควิด-19” ระลอกสอง

แคลิฟอร์เนียสั่งปิด “ธุรกิจภายในอาคาร” หลังเจอ “โควิด-19” ระลอกสอง

แคลิฟอร์เนียสั่งปิด “ธุรกิจภายในอาคาร” หลังเจอ “โควิด-19” ระลอกสอง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อวันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม ที่ผ่านมา กาวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศใช้มาตรการปิดธุรกิจที่ตั้งอยู่ภายในอาคารทั่วทั้งรัฐทันที หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 และผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น โดยธุรกิจที่จะต้องปิดทำการชั่วคราว ได้แก่ ร้านอาหาร โรงผลิตไวน์ โรงภาพยนตร์ ศูนย์ความบันเทิงสำหรับครอบครัว สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ ห้องเล่นเกมไพ่ และบาร์

นอกจากนี้ ทั้ง 30 เมืองในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งรวมถึงลอสแอนเจลิส ซาคราเมนโต ซานโฆอากิน ออเรนจ์ ซานดิเอโก และเฟรสโน ยังต้องปิดทำการยิม ศาสนสถาน ออฟฟิศสำหรับภาคธุรกิจที่ไม่จำเป็น บริการดูแลส่วนบุคคล ร้านทำผม ร้านตัดผม และห้างสรรพสินค้า และทุกเมืองต้องอยู่ในรายงานเฝ้าระวังเป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน จนกว่าจะเข้าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดโดยรัฐ

นิวซัมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการตัดสินใจ โดยอยู่บนพื้นฐานของสภาพพื้นที่และข้อมูล รวมถึงแนวโน้มการระบาดล่าสุดที่ก่อให้เกิด “ความระมัดระวังและความกังวล”

“เรากำลังจะย้อนกลับไปสู่คำสั่งอยู่บ้านหยุดเชื้อ ทว่าการทำเช่นนั้นต้องอาศัยแนวทางที่เรียกกันทั่วไปว่า “สวิตซ์หรี่ไฟ” ไม่ใช่ “สวิตช์ปิดเปิด” พร้อมทั้งรายงานตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นราว 27.8% จากเมื่อ 14 วันก่อน และมีผู้ป่วยที่รักษาตัวในแผนกไอซียูเพิ่มขึ้น 19.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน

ที่ผ่านมา นิวซัมพยายามชะลอการระบาดของโรคโควิด-19 โดยสั่งการให้ทั่วทั้งรัฐสวมหน้ากากเมื่ออยู่ในที่สาธารณะตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน และในวันที่ 1 กรกฎาคม เขาได้สั่งการให้ปิดบาร์และธุรกิจภายในอาคารบางส่วนใน 19 เมือง และขณะนี้ แคลิฟอร์เนียอยู่ในแผนการเปิดเมืองระยะที่ 2 จาก 4 ระยะ ซึ่งอนุญาตให้สถานที่ทำงานที่มีความเสี่ยงต่ำสามารถเปิดทำการได้ ภายใต้มาตรการควบคุมโรค

ทว่าในขณะที่หลายเมืองสามารถกลับมาเปิดระบบเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว สถานการณ์ผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้เมืองเหล่านี้ต้องระงับการเปิดเมืองเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีการประกาศเพิ่มเติม

ติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ COVID-19 ได้ที่นี่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook