2 หนุ่มระยองชูป้ายประท้วงบิ๊กตู่ เจอ 4 ข้อหา ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน-พ.ร.บ.โรคติดต่อ
รองโฆษก ตร.เผยเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา ตามความผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ กับ 2 หนุ่มระยองหลังถือป้ายประท้วงนายกรัฐมนตรี
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจ เปิดเผยถึงกรณีการควบคุมตัวบุคคล 2 คน ที่อ้างตัวเป็นตัวแทนกลุ่มเครือข่ายเยาวชนภาคตะวันออก ยืนถือป้ายข้อความ เชิญชวนบุคคลอื่นมาชุมนุม เพื่อรอเจอกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นั้นได้รับรายงานจาก สภ.เมืองระยอง ว่า เมื่อวันที่ 15 ก.ค. เวลา 16.00 น. ได้มีชาย 2 คน เชิญชวนบุคคลมาชุมนุมในโซเชียล พร้อมกับ ชูป้ายแสดงข้อความ ซึ่งเป็นการแสดงความไม่พอใจ เนื่องจากเป็นคนระยองและไม่พอใจกับสิ่งที่รัฐบาลกระทำ บริเวณหน้าโรงแรมดีวารี ก่อนที่ นายกรัฐมนตรีจะมาตรวจสอบและปฏิบัติราชการในพื้นที่
ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอาศัยอำนาจเจ้าพนักงานควบคุมโรค ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ได้มีคำสั่งให้บุคคลทั้ง 2 ออกไปจากบริเวณดังกล่าว ในการรักษาความปลอดภัยนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญและเป็นการเสี่ยงต่อโรคติดต่อ แต่ปรากฏว่า บุคคลทั้ง 2 ไม่ให้ความร่วมมือและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ เจ้าพนักงาน ควบคุมโรคฯ จนกระทั่งมีการใช้กำลังในการควบคุม ให้ออกนอกบริเวณดังกล่าว
ซึ่งมีการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน จนสามารถควบคุมบุคคลทั้ง 2 ขึ้นรถยนต์ เดินทางมาถึง หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ภ.จว.ระยอง ปรากฏว่าบุคคลทั้งสองได้วิ่งหลบหนีเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วมาปรากฏตัว บริเวณตลาดสตาร์พร้อมกับได้ทำการไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก หลังจากนั้นจึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม กล่าวหาว่า "เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ" โดยพนักงานสอบสวน ได้สอบปากคำผู้เสียหายทั้งสองและส่งตัวให้แพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพระยอง ตรวจชันสูตรบาดแผลและทำการรักษา เพื่อจะได้สอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ในส่วนการกระทำของบุคคลทั้งสอง ซึ่งถือเป็นความผิดซึ่งหน้าตั้งแต่ที่ได้มีการควบคุมตัวเพื่อมาดำเนินคดี ภายหลังจากหลบหนีการควบคุม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวน รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม และได้กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองระยอง ให้ดำเนินคดีความผิดฐาน
1. ทำกิจกรรม ที่อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดฯ ซึ่งออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ 18
2. ฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ที่ห้ามกระทำการใดๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะฯ อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558
3. ขัดคำสั่งเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจหน้าที่ ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร
4. หลบหนีไประหว่างที่ควบคุมของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนสอบสวน"
เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป
พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวต่ออีกว่า การกระทำของบุคคลทั้งสอง ถือว่าเข้าข่ายความผิดและเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเชิญชวนบุคคลร่วมชุมนุมในลักษณะที่เสี่ยงหรือมีโอกาสติดต่อสัมผัสกันได้ง่าย อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
ขอฝากเตือนไปยังกลุ่มบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเยาวชน ที่มีแนวคิดใช้คำหยาบคาย แสดงความก้าวร้าว ในลักษณะที่สร้างความเกลียดชัง หรือ ใส่ร้ายป้ายสีผู้หนึ่งผู้ใด เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะการอยู่รวมกันในสังคม ย่อมสามารถแสดงความคิดเห็นต่างได้ แต่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมายและไม่เป็นการกระทำที่ไปกระทบสิทธิผู้อื่น อีกทั้ง มีความเป็นห่วงเป็นใย เยาวชน ที่ถูกชักจูงให้ร่วมกระทำความผิด โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ซึ่งปัจจุบันยังคงอยู่ภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) พร้อมกันนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบังคับใช้กฎหมาย ด้วยความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ไม่เลือกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยภายในสังคม
ทั้งนี้ ขอฝากไปยังพี่น้องประชาชน โปรดตั้งสติ ใช้วิจารณญาณ ในการรับข้อมูลข่าวสารต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลในโซเชียลมิเดีย หรือ จากแฮชแท็ก #ตำรวจระยองอุ้มประชาชน ทั้งในทวิตเตอร์ หรือ เฟซบุ๊ก เพราะหากทุกคนเคารพ กฎกติกา ให้ความร่วมมือ ไม่ฝ่าฝืนคำสั่ง หรือ ประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ , พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ขึ้น