กรมการค้าภายใน เตรียมพิจารณาปลดล็อคโรงงานหน้ากากในไทย ขายสู่ประชาชนได้
24 กรกฏาคม 2563 ประเทศไทยพ้นภาวะขาดแคลนหน้ากากอนามัย และเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว หน่วยงานรัฐ มหาดไทย และสาธารณสุข มีหน้ากากสำรองไว้เพียงพอแล้ว ทั้งนี้ สาธารณสุขมีสำรองไว้สำหรับโรงพยาบาลทั่วประเทศ สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ แพทย์ และพยาบาล สำรองตุนไว้เกิน 1 เดือนแล้ว จังหวัดต่างๆ ก็เช่นกัน
นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า ขณะนี้การผลิตหน้ากากอนามัยของไทยเพิ่มขึ้นมากมาอยู่ที่วันละประมาณ 4.2 ล้านชิ้น เพราะมีโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยตั้งใหม่หลายราย
ล่าสุด มีโรงงานที่ผลิตได้มาตรฐาน และขายให้กับรัฐรวม 16 ราย ซึ่งรัฐรับซื้อวันละ 3 ล้านชิ้น จัดสรรให้กระทรวงสาธารณสุข 1.8 ล้านชิ้น และกระทรวงมหาดไทย 1.2 ล้านชิ้น ขณะเดียวกันวัตถุดิบสำคัญ โดยเฉพาะเมลท์โบลนที่เป็นแผ่นกรองเชื้อโรคหาซื้อได้ง่ายขึ้น และราคาถูกลง เพราะจีนกลับมาส่งออกมากขึ้น จากที่จำกัดการส่งออกเพื่อให้มีเพียงพอในประเทศ
จากสถานการณ์การผลิตที่ดีขึ้น รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยเริ่มดีขึ้น ส่งผลให้มีหน้ากากอนามัยส่วนเกินมากถึงวันละ 1.2 ล้านชิ้น ดังนั้น เมื่อเร็วๆ นี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงมีมติให้กรมการค้าภายใน หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางบริหารจัดการให้เหมาะสม
“จากการหารือกับกรมบัญชีกลาง กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข เห็นตรงกันว่ารัฐจะรับซื้อหน้ากากอนามัยส่วนเกินวันละ 1.2 ล้านชิ้น เพื่อนำมาขายให้หน่วยงานที่มีความจำเป็นต้องใช้ในราคาต้นทุน เช่น บริษัท การบินไทย, สายการบินต่างๆ, สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.), ท่าอากาศยานไทย (ทอท.)
ส่วน 3 ล้านชิ้น ที่จัดสรรให้สาธารณสุข และมหาดไทย ได้รับแจ้งว่าสาธารณสุขตุนไว้เกิน 1 เดือนแล้ว จังหวัดต่างๆ ก็เช่นกัน”
สิ่งที่สำคัญคือ จากเดิมรัฐออกประกาศรับซื้อ 100% จากโรงงาน หรือประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อวัน แต่วันนี้สถานการณ์ขาดแคลนหน้ากากอนามัยได้หมดไปแล้ว จากวันนี้ไปรัฐจะรับซื้อจากโรงงานทั้งหมดเพียงแค่ 1.2 ล้านชิ้นต่อวัน (40%) จากเดิม
ทำให้หน้ากากอนามัยมีโอกาสที่จะจำหน่ายให้กับพี่น้องประชาชนมากขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารจัดการพัสดุสำหรับการป้องกันควบคุมหรือรักษาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)
ได้เสนอให้คณะกรรมการเฉพาะกิจ พิจารณาปรับเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ใหม่ จากในช่วงก่อนหน้า รัฐรับซื้อจากโรงงานทุกวัน ที่ชิ้นละ 4.28 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) มาเป็นวิธีการประมูล
โดยให้โรงงานเสนอราคาขายมา รายใดเสนอต่ำสุด รัฐจึงจะรับซื้อ ทำให้การซื้อเดือน มิ.ย.ซื้อได้ในราคาต่ำลงที่ชิ้นละ 4-4.15 บาท ส่วนเดือน ก.ค. เหลือเพียงชิ้นละ 3.65 บาท
และคาดว่าราคาในเดือน ส.ค.นี้จะต่ำลงอีก ทั้งนี้ คณะกรรมการเฉพาะกิจเห็นชอบให้ต่ออายุการห้ามส่งออกต่อไปอีกจนถึงสิ้นสุดวันที่ 3 ก.พ. 64 รัฐสำรองไว้เกิน 1 เดือนแล้ว พร้อมปลดล็อคโรงงานขายสู่ประชาชน