ผู้ว่าฯ ฟลอริดาลั่นจะไม่บังคับสวมหน้ากาก แม้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งกว่า 4 แสนราย
ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ยืนยันจะไม่บังคับประชาชนสวมหน้ากาก และยืนยันจะเปิดเรียนอีกครั้ง แม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อภายในรัฐจะพุ่งมากกว่า 4 แสนราย แซงหน้านิวยอร์ก
ข้อมูลจากเว็บไซต์มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกิ้นของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมในรัฐฟลอริดาเพิ่มขึ้นเป็น 423,855 ราย ทำให้ฟลอริดามีผู้ติดเชื้อมากเป็นอันดับ 2 รองจากรัฐแคลิฟอร์เนียที่มีผู้ติดเชื้อสะสมถึง 450,242 ราย
ขณะที่รัฐนิวยอร์กที่เคยเป็นศูนย์กลางการระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ นั้น ปัจจุบันสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังคงมีผู้ติดเชื้อสะสมมากถึง 411,736 ราย แต่อัตราการเพิ่มขึ้นจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่รวมถึงผู้ที่เสียชีวิตและผู้ที่เข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลนั้นเริ่มชะลอตัวลดลง
รอน เดอซานทิส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดาจากพรรครีบลัพริกัน กล่าวว่า รัฐฟลอริดาจะไม่ออกมาตรการบังคับการสวมหน้ากาก และยืนยันว่าโรงเรียนจะต้องกลับไปเปิดเรียนอีกครั้งในเดือนส.ค.ที่จะถึง ขณะที่ร้านค้าและร้านอาหารต่างๆ ในฟลอริดายังคงเปิดทำการเป็นปกติมาตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา
ที่ผ่านมาผู้ว่าการรัฐฟลอริดาได้ให้อำนาจแก่ผู้นำพื้นที่เขตต่างๆ ในการออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเขตของตน ซึ่งในเขตทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดา ได้ออกมาตรการเคอร์ฟิวในช่วงเวลากลางคืนเพื่อยับยั้งการรวมกลุ่มของประชาชนจำนวนมาก
ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาผู้ติดเชื้อรายใหม่ในฟลอริดาเพิ่มขึ้นถึง 15,299 รายภายใน 24 ชม. ซึ่งเป็นสถิติที่มากสุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดในสหรัฐฯ และปัจจุบันโรงพยาบาลอย่างน้อย 50 แห่งภายในรัฐไม่มีเตียงสำหรับผู้ป่วยวิกฤตที่ติดเชื้อโควิด-19 อีกต่อไป
จำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯทั่วประเทศยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจุบันจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมากกว่า 4.2 ล้านราย ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ ครู พยาบาลและผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นๆกว่า 150 รายลงนามในจดหมายถึงรัฐบาลสหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการปิดประเทศอีกครั้ง รวมถึงกลับมาใช้มาตรการคุมเข้มเพื่อลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกครั้ง