ตำรวจตั้งโต๊ะแถลงยอมรับ คดี "บอส อยู่วิทยา" ถือว่าสิ้นสุด แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว
![ตำรวจตั้งโต๊ะแถลงยอมรับ คดี "บอส อยู่วิทยา" ถือว่าสิ้นสุด แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว](http://s.isanook.com/ns/0/ud/1643/8218730/police.jpg?ip/crop/w728h431/q80/jpg)
ตำรวจแถลงความเห็นไม่แย้งคดี "บอส อยู่วิทยา" ถือว่าสิ้นสุด แก้ไขไม่ได้แล้ว จ่อสอบการใช้ดุลยพินิจของ "พล.ต.ท.เพิ่มพูน" ว่าเป็นไปตามกฎหมายบัญญัติหรือไม่
วันนี้ (29 ก.ค.) พล.ต.อ.ศตวรรษ หิรัญบูรณะ ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.) พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.สมชาย พัชรอินโต ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี (ผบช.กมค.) เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาดของอัยการ กรณี นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ในคดีขับรถชนตำรวจเสียชีวิต เมื่อปี 2555 โดยยอมรับว่า ความเห็นที่ไม่แย้งคำสั่งเด็ดขาดของอัยการในคดีนี้ ขณะนี้ถือว่าคดีสิ้นสุด ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงความเห็นได้อีก
โดยยืนยันว่า การพิจารณาความเห็นที่อัยการส่งมา เป็นการพิจารณาความถูกต้องในข้อกฎหมาย และดูข้อเท็จจริง ไม่มีอำนาจตรวจสอบความเห็นของอัยการ หรือขอให้อัยการอธิบายเหตุผลของการสั่งคดีได้ เพราะเป็นการถ่วงดุลอำนาจในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะทำหน้าที่สืบหาข้อเท็จจริงว่า การใช้ดุลยพินิจของ พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่ไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะรื้อฟื้นหรือสืบสวนเพิ่มเติม เพราะคดีผ่านชั้นสืบสวนของตำรวจมาแล้ว โดยคณะกรรมการจะเชิญ พล.ต.ท.เพิ่มพูน เข้าให้ข้อมูลในเร็วๆ นี้
ด้าน พล.ต.ท.จารุวัฒน์ กล่าวว่า พนักงานสอบสวน ไม่เกี่ยวข้องกับพยานใหม่ 2 ปาก เนื่องจากอัยการเป็นฝ่ายมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวน สอบปากคำเพิ่ม หลังฝ่ายผู้ต้องหายื่นร้องขอความเป็นธรรมกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พนักงานสอบสวนจึงทำตามขั้นตอนที่อัยการกำหนดเท่านั้น โดยไม่สามารถก้าวล่วงกับการให้น้ำหนักกับพยาน 2 ปากนี้ พร้อมยอมรับว่า ที่ผ่านมา คดีร้อยละ 97 สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความเห็นไม่แย้ง มีเพียงร้อยละ 3 ที่เห็นแย้ง
และโดยทั่วไป ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบคดีตามเขตอำนาจของพนักงานอัยการ จึงสามารถมีความเห็นแย้งหรือไม่แย้งคดีได้ ถือว่าความเห็นเป็นอันสิ้นสุด โดยความเห็นแย้งหรือไม่แย้งไม่ต้องรายงาน ผบ.ตร.ให้ทราบ พร้อมยืนยันว่าคณะกรรมการชุดนี้ไม่ใช่การฟอกขาวการไม่แย้งคำสั่งของอัยการของ พล.ต.ท.เพิ่มพูน แต่จะทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏต่อสาธารณชน และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และให้สังคมเข้าใจว่า คณะกรรมการทำอะไรบ้าง โดยจะประชุมทุกวัน และแถลงข่าวให้ทราบเป็นระยะ
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการจะพิจารณาใน 3 แนวทาง คือ 1. การสอบสวนและความเห็นชั้นพนักงานสอบสวน 2. การสอบสวนเพิ่มเติมตามความเห็นของอัยการ 3. การตรวจสอบการใช้ดุลยพินิจไม่แย้งสำนวน ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ พร้อมระบุว่า ผลการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ จะไม่มีผลต่อคดีความ เพราะคดีสิ้นสุดแล้ว และจะไม่เกี่ยวข้องกับผลการตรวจสอบของอัยการสูงสุด แต่หากพบว่ามีการใช้ดุลยพินิจไม่ชอบตามกฎหมาย ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาความผิดทางวินัยและอาญาต่อไป
สำหรับคดีนี้ แม้ทางกระบวนการของตำรวจจะสิ้นสุด แต่ครอบครัวผู้เสียหายยังสามารถฟ้องร้องคดีต่อศาลได้เอง ตามกระบวนการยุติธรรม