"ลิฟท์ สุพจน์" พ่อบ้านใจกล้าแต่ไม่กล้ากับเมีย ยอมรับหวงลูกสาวหนักมาก

"ลิฟท์ สุพจน์" พ่อบ้านใจกล้าแต่ไม่กล้ากับเมีย ยอมรับหวงลูกสาวหนักมาก

"ลิฟท์ สุพจน์" พ่อบ้านใจกล้าแต่ไม่กล้ากับเมีย ยอมรับหวงลูกสาวหนักมาก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวคนบันเทิงที่อบอุ่นที่สุดๆ สำหรับ ลิฟท์-สุพจน์ จันทร์เจริญ ซึ่งหลังจากแต่งงานและมีลูกสาว น้องพราว ที่กำลังน่ารักน่าเอ็นดู ล่าสุด รายการต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ได้เชิญ คุณพ่อลิฟท์ มานั่งพูดคุยให้แฟนๆ ได้หายคิดถึง ว่าพ่อบ้านใจกล้า แต่ไม่กล้ากับเมีย ลิฟท์ สุพจน์ ยกธุรกิจครอบครัวให้ภรรยาคุม ทั้งหมดเพราะเคยทะเลาะกันเกือบบ้านแตก พร้อมอัปเดตชีวิตคุณพ่อลูกหนึ่ง หวงลูกสาวหนักจนถึงขั้นต้องส่งไปเรียนมวยไทย

ตอนนี้ชีวิตปัจจุบันคือ มีครอบครัวมีลูกสาวน่ารัก มีภรรยาสวย ชีวิตตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ลงตัวทุกอย่าง?

ลิฟท์ : "ตอนนี้ถือว่าลงตัวสมบูรณ์แบบในความเป็นครอบครัวของเราที่เล็กๆ มีลูกน่ารักเราได้มีงานทำ ภรรยาเขาได้มีอะไรทำเล็กๆ ที่เขาชอบเขามีความสุข ไม่ต้องทะเลาะกันเท่านี้เรารู้สึกว่าเราโอเคแล้ว" 

แบบครอบครัวไหนมีภรรยาเป้นผู้นำบ้านนั้นได้ดีหมด อย่างเช่นมาออกรายการ ต้มยำอมรินทร์ภรรยาสั่งให้มาขายของด้วย ?

ลิฟท์ : "ของที่ภรรยาสั่งให้เอามาคือ เป็นแบรนด์ของภรรยาผมเองครับ ใช้ชื่อว่า แม่หญิง ตอนเริ่มทำผมก็เริ่มทำกับภรรยา โดยเริ่มจากที่เราทานอะไรอร่อยๆ ไม่อยากกินแล้วมันอ้วน อย่างเช่นครองแครง เมื่อก่อนที่เราทานมันจะเคลือบน้ำตาลมันๆเราก็คิดว่าทำไม ครองแครง ทำไมเราไม่เอา ชีส ปาปริก้า ใส่ครองแครงทำไมทำไม่ได้ เราก็เลยลองทำใส่แล้วทุกอย่างเราก็จะรีดน้ำมันหมดให้มันแห้ง ให้มันกรอบ แล้วให้มันอยู่ได้นานเราก็ลงทุนซื้อเครื่องรีดน้ำมันมาไว้ที่บ้านเลยครับ เพื่อเอามารีด กากหมู หนังไก่ ครองแครง ไว้โดยเฉพาะเลย หนังไก่ทอด ของเราจะพิเศษสามารถเอาไปใส่แกงใส่อะไรได้เลย ของผมก็จะมีรสต้มยำด้วยนะครับ หนังไก่ทอดจะมี 2 แบบ คือ แบบทานเล่น กับ ทานใส่กับแกงต่างๆเพื่อปรุงอาหารด้วยครับ"  

ก่อนที่เราจะทำขายเราไปเรียน หรืออะไรเพิ่มเติมไหม

ลิฟท์ : "ไม่ครับ คือเราเป็นคนที่ชอบหาอะไรที่ทานกันแบบเรื่อยๆ อยู่แล้ว อะไรที่เราชอบเราก็อยากให้คนอื่นทานด้วย ตอนแรกเราก็ทำเล็กกันก่อน เพื่อให้เพื่อนๆได้ทานกัน พอทำเริ่มสนุกก็ได้ทำไปขายในออนไลน์ก็กลายเป็นกิจการเล็กๆของเราขึ้นมา แต่กิจการนี้เป็นของเขาเลยครับ เพราะพอเรามาทำด้วยกันช่วงแรกกับกลายเป็นทะเลาะกันเพราะว่าความคิดของเราไม่ตรงกัน ทะเลาะกันจนกลายเป็นปัญหาไปใหญ่โต เช่นเรื่องการตลาด การทำแบบนี้ แบบนั้น จะขายยังไงมันเป็นความคิดที่แตกต่างกัน แบบแทนที่จะทะเลาะกันบนโต๊ะจบ แต่พอแยกย้ายไปนอนเขาก็ยังงอนเราอยู่ เราก็เลยรู้สึกว่าเอางี้แล้วกันเราให้ภรรยาเราทำคนเดียวไปเลยแล้วกัน ส่วนเราก็เอามาช่วยโปรโมทออกรายการให้เขาแบบนั้นดีกว่า" 

แล้วพอเราเอาออกมาขายแล้วพอกลับบ้านไปแล้วเราต้องให้เงินเขาหมดเลยไหม

ลิฟท์ : "ให้หมดสิครับ เราจะไปเก็บได้ยังไง เขาคำนวณมาหมดแล้วว่าอันนี้เท่าไหร่ๆ" 

ตอนนี้ขายออนไลน์อย่างเดียวเลยไหม 

ลิฟท์ : "ขายมาประมาณสัก 4-5 ปี แล้ว เวลาไปออกบู๊ทที่ไหน เวลาทำคอนเสิร์ตหรือเราไปที่ไหนให้คนรู้จัก เราก็นำไป หรือไปโปรโมท หรือส่งต่อบอกต่อให้ทุกคนได้รู้ ไม่ได้วางขาย หรือ ผลิตออกมาเยอะ อย่างน้อยเวลาเราผลิตออกมาเราอยากให้มีคุณภาพ ทานของใหม่ๆ ไม่ทิ้งไว้นาน ใครสนใจอยากทานสามารถติดต่อมาได้ที่ ไลน์ maeying324" 

ในยุคนั้นถือว่าเราคือนักร้องที่แต่งงานเร็วใช่ไหม ?

ลิฟท์ : "ใช่ครับ ตอนนี้คือ 12 ปีแล้ว เพราะตอนนั้นเราแต่งงานตอนอายุ 34 ในช่วงนั้นคือ เป็นช่วงที่เรากำลังโด่งดังเลย แล้วก็ตัดสินใจที่จะแต่งงานมีครอบครัว ถามว่าเร็วไหมด้วยอายุก็ไม่ได้เร็วแล้วครับ ตอนนั้นที่แต่งงานเร็วเพราะเราเป็นคนที่อยากมีลูกเร็ว มีความคิดแบบอายุ 60 ยังเที่ยวกับลูกได้อยู่ เราก็เลยบอกว่ารีบแต่งงานรีบมีลูกดีกว่าเพราะเราอยากยังเที่ยวกับลูก ยังอยากใช้ชีวิตกับลูกได้อยู่ ยังทำกิจกรรมด้วยกันได้โดยที่เราไม่แก่จนเกินไป" 

ตอนนั้นกลัวไหมที่เราแต่งงานไปแล้วความดังความฮอตของเราจะลดลง ไม่ฮอตแล้ว งานจะหาย ไม่มีใครตามกรี๊ด 

ลิฟท์ : "ช่วงนั้นคือเราปล่อยวางแล้ว ผมรู้สึกว่าการทำงานของเราไม่ได้เป็นดารา แต่เราเป็นนักแสดง ซึ่งการเป็นนักแสดงนั่นหมายถึง เป็นอาชีพที่โอเคสำหรับเราที่เราชอบ ที่เราชอบเล่นเป็นคนโน้น ชอบเล่นเป็นคนนี้ มีบทแปลกใหม่ๆมามันสนุกเราเลยไม่คิดถึงเรื่องว่าใครจะต้องมาชื่นชอบในตัวเรา ดังเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย 

พอแต่งงานเรียบร้อยแล้ว ชีวิตเปลี่ยนไปไหม สไตล์การใช้ชีวิตที่ต้องอยู่ร่วมกันเป็นยังไง ?

ลิฟท์ : "โชคดีที่เราปรับตัวกันได้ง่าย สำหรับในช่วงที่เราก่อนจะแต่งงานนะ ก่อนแต่งงานกับหลังแต่งงานเหมือนกันมันก็เลยรู้สึกว่าไม่ค่อยมีปัญหาใครการปรับตัวกันมากเท่าไหร่ เพราะเราใช้ชีวิตไปในทิศทางที่เหมือนกัน คุยกันง่ายๆ แบบแมนๆ ไม่ได้ปล่อยให้เราคิดเองอย่างงี้ บางทีผู้หญิงชอบแบบคิดเองสิว่าฉันคิดอะไรอยู่ เราจะไปรู้ได้ยังไง ผู้หญิงมักจะไม่พูดในสิ่งที่ตัวเองคิด เราสองคนจะคุยกันว่าเราเป็นแบบนี้นะ เขาเป็นแบบนี้นะจูนกันโอเค"

มีหวานกันบ้างไหม มีเสียงสองบ้างหรือเปล่า ?

ลิฟท์ : "ถ้าเสียงแบบนี้มาต้องมีแผนแน่นอน ไม่ใช่เขา ถามว่าเขาเป็นคนดุไหม ก็ไม่ดุนะแต่เขาเป็นคนห้าวๆผู้หญิงตรงๆ เวลาพูดก็จะแบบ ป๊ากินข้าว! เราก็จะตอบเขาไปสิร้านไหนๆ"

ลิฟท์ : "แต่ถ้าเขาไม่พอใจเขาจะนิ่งๆ เลยครับ เราอยู่ด้วยกันทุกวันเราจะรู้ว่าเขาอาการอะไรยังไง เราจะรู้เราจะดูออก คนทั่วๆ ไปเขาจะมองว่าดุจังเลย นั่งเฉยๆ มองตาก็กลัวแล้ว เพราะถ้าเขาไม่ยิ้มจะดูดุ" 

ถาม 12 ปี เคยทะเลาะกันแบบรุนแรงไหม ?

ลิฟท์ : "เคยนะผมเคยตอนที่เขาเดินออกจากบ้านไปแล้ว แล้วต้องแน่ใจด้วยนะว่าเขาขับรถออกไปแล้วด้วย (หัวเราะ) ไม่ค่อยมีทะเลาะกันมากที่สุดคืองอนกัน แต่กฎของบ้านเราคือ จะงอนจะโกรธห้ามออกจากบ้าน ยังนอนห้องเดียวกัน เตียงเดียวกัน ถ้างอนใครงอน โถ่! ก็ต้องผมสิครับ (หัวเราะ) ส่วนมากเขาบอกว่าถ้าผู้ชายง้อจะไม่ค่อยเสียเชิงเท่าไหร่ แต่ถ้าผู้หญิงง้อเขาจะรู้สึกว่าทำไมฉันต้องง้อเธอ" 

การสวีทของคู่นี้คือ การพากันไปวิ่งมาราธอน

ลิฟท์ : "คือการไปวิ่งเราได้ไปออกกำลังกายด้วยแล้วก็ได้ไปเที่ยวด้วย แต่เวลาวิ่งเราไม่ได้วิ่งพร้อมกันนะครับ เพราะเราวิ่งกันคนละระยะ ผมวิ่ง 21 กิโล เขาวิ่ง 10 กิโล ถ้าเราไม่ได้ไปวิ่งลงสนามแข่งเราก็วิ่งปกติกันอยู่ที่บ้านอยู่แล้ว เวลาเราไปวิ่งไปออกกำลังกายด้วย เราก็จะมีกลุ่มเพื่อนๆก็สนุกไปอีกแบบ"

ไหนๆ ก็แต่งงานมีลูกแล้ว ถามเลยแล้วกันหญิงใช่สเปกไหม 

ลิฟท์ : "ไม่ใช่เลยครับ จริงๆ ผมชอบผู้หญิงเหนือแบบแม่ของผม เป็นแม่บ้านเย็นๆ พูดเรียบร้อย คอยทำกับข้าวอยู่บ้านเลี้ยงลูก เราชอบคนที่เอาใจเรา แต่จะบอกว่าก่อนแต่งงานเขานวดผมนะ ผมนอนดูทีวีสบายเลยมีความสุข พอแต่งงานแล้วเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเลยคนคนนั้นมันหายไปไหน คือ เขาก็เป็นแบบของเขาเป็นตัวเขา แต่สุดท้ายรวมๆ แล้วมันก็คือครอบครัวของเรา แบบฉบับของพวกเรา"

แต่งงานมา 12 ปี ไม่เคยนอกใจภรรยาเลย 

ลิฟท์ : "คือ ผมเป็นคนไม่เจ้าชู้แต่ผมเป็นคนชอบคนง่าย คือ ภรรยาจะรู้เลยถ้าเรานั่งอยู่แล้วมีผู้หญิงสาวๆ เดินผ่านภรรยาจะทักว่าเป็นไงล่ะมีผู้หญิงสวยๆ เดินผ่าน" 

ถามเรื่องภรรยามาเยอะแล้ว ถามเรื่องลูกบ้างดีกว่า 

ลิฟท์ : น้องพราวตอนนี้ 10 ขวบแล้วครับ เมื่อก่อนตอนเด็กเขาจะหน้าเหมือนผมมาก แต่ตอนนี้เขาหน้าเหมือนแม่เขามาก มีแก้ม มีคาง ยิ่งโตขึ้นยิ่งเหมือนแม่ ส่วนนิสัยเหมือนผมครับ คือ ขี้เล่น เป็นเด็กอารมณ์ดี เอาตัวรอดได้ ส่วนการเลี้ยงเราก็ปล่อยให้เขาเรียนรู้ จะบอกว่าตอนเด็กๆหญิง เขาไม่กล้าอุ้มลูกเพราะเขาเคยอุ้มลูกหมาตอนเด็กแล้วเขาทำลูกหมาตกพื้นตาย เขาเลยมีภาพจำ ทำให้การที่เขาอุ้มเด็กเขากลัวมาก คือ ตั้งแต่ที่ลูกคลอดมาจนปีหนึ่ง คือ เราอุ้มตลอด ส่วน หญิง เขาจะให้นมนั่งอย่างเดียวเลยครับ

คู่นี้เหมือนเห็นพ้องต้องกันทุกเรื่อง แต่ยกเว้นเรื่องโรงเรียน ?

ลิฟท์ : "เรื่องโรงเรียนคือเรามีข้อแย้งกันตลอด เขาอยากจะให้ลูกเขาโรงเรียนอินเตอร์ แต่เราอยากให้เข้าโรงเรียนไทยเพราะอยากให้เขาแบบ สวัสดีค่ะคุณพ่อ/สวัสดีค่ะ คุณแม่ คือภาพเราไม่อยากพอลูกกลับบ้านมาแล้วยกมือทักทาย แต่เพราะตัวหญิง เขามองว่าอยากให้ลูกได้เรียนรู้หลายภาษา ทะเลาะกันแต่ไม่ได้ถึงกับหนักนะ สุดท้ายเราก็ยอม ยอมให้ลูกเรียนอินเตอร์ก็ได้ แต่ถ้าลูกไม่ชอบขอออกมาเรียนแบบไทยๆนะ โรงเรียนทางเลือกเลยก็ได้ แต่ตอนนี้ลูกชอบโรงเรียนนั้นมากเลยอยู่มาตลอด" 

หวงลูกสาวไหม เห็นบอกว่าหวงมากถึงกับพาไปเรียนมวยเลย

ลิฟท์ : "คือจะบอกว่าไม่ใช่แค่จะพาไปเรียนต่อยมวยนะครับ จากนี้จะพาไปเรียนยิงปืน คือจริงๆ ที่เราให้ลูกไปเรียนต่อยมวยเนี้ย เพราะเราเป็นคนชอบออกกำลังกายตั้งแต่เด็กเราก็พาเขาไปแล้ว เขาก็คุ้นอยู่แล้ว เราก็คิดว่าพอเราจะไปทำกิจกรรมแบบ 2-3 ชั่วโมง โดยที่ให้ลูกไปด้วยมันก็เหมือนทำกิจกรรมผ่านในครอบครัว ใช้คำว่า ห่วง มากกว่า ไม่ได้ หวง จนห้ามใครเข้ามาจีบ แต่มันคือเรื่องธรรมชาติ แต่ก็ต้องสแกนกันหน่อยเราผ่านอะไรมาเยอะเราก็จะรู้ว่าใครเป็นยังไง"

ถ้าคนพูดว่าเรากลัวเมียยอมรับไหม

ลิฟท์ : "ก็ยอม แต่จริงๆ ไม่ได้กลัวอะไรแบบนั้นนะ แต่กลัวปัญหาภายในครอบครัวจะเกิดมากกว่า สมมติว่าเราไม่ยอมหรืออะไรปัญหามันก็จะเกิดขึ้นมาในครอบครัว เราก็จะไม่มีความสุข แต่ถ้าอะไรที่มันแบบหยวนๆข้ามไปได้ มันโอเคแล้วทำให้ครอบครัวเรามีความสุข เราก็ทำได้ยอมได้ ไม่มีแพ้ไม่มีชนะ มีแต่ว่าอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข" 

ติดตามชมย้อยหลังได้ที่ รายการต้มยำอมรินทร์ 

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ ของ "ลิฟท์ สุพจน์" พ่อบ้านใจกล้าแต่ไม่กล้ากับเมีย ยอมรับหวงลูกสาวหนักมาก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook