ภูมิรัฐศาสตร์ 5: "ทหารราบ" หนึ่งปัจจัยชนะข้าศึก ที่สหรัฐล้มเหลวในสงครามเวียดนาม
การสงครามจะแพ้ชนะกันได้ก็ต้องสามารถยึดพื้นที่ของข้าศึกให้ได้ และเหล่าทหารที่สำคัญที่สุดคือ ทหารราบหรือทหารเดินเท้า
ในสมัยสุโขทัยเรียกว่า "ทหารตีน" นั่นเอง ดังนั้นทหารราบจึงได้รับฉายาว่าม "ราชินีแห่งการรบ" จะเห็นได้จากการเล่นหมากรุกสากลนั้น ควีน (Queen) เป็นตัวหมากรุกที่ใช้ในหมากรุกสากล ควีนสามารถเดินได้ในแนวตั้ง แนวนอน และแนวทแยง 8 ทิศทาง ในระยะยาวจนสุดกระดาน หรือจนกว่าจะมีตัวยืนขวาง
ความจริงทหารราบเป็นทหารหลักมาตั้งแต่เริ่มมีกองทัพที่จะทำสงครามกันระหว่างมนุษย์สองฝ่ายอยุ่แล้วคือเป็นลักษณะ "ยกพวกเข้าตีกัน" นั่นแหละ ต่อมาเมื่อมีการจัดหมวดหมู่ตั้งกองทัพขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วก็ได้แบ่งเหล่าทหารออกตามกองทัพบกไทย มีการแบ่งเหล่าทหารบก ออกเป็นเหล่าต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
เหล่ารบ: เหล่ารบ เป็นเหล่าหลักที่ใช้ในการรบ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่หลักในสนามรบ ประกอบด้วย
- ทหารราบ (ร.) เป็นกำลังรบหลักของกองทัพบกไทย มีกำลังพลมากที่สุด มีหน้าที่เข้ารักษาพื้นที่
- ทหารม้า (ม.) แบ่งออกเป็นสามแบบ คือ
- ทหารม้าลาดตระเวน
- ทหารม้าบรรทุกยานเกราะ ยานสายพาน หรือยานหุ้มเกราะเป็นพาหนะในการรบ
- ทหารม้ารถถัง ใช้รถถังเป็นอาวุธหลัก ในการปฏิบัติการรบ
เหล่าสนับสนุนการรบ: เหล่าสนับสนุนการรบ เป็นฝ่ายสนับสนุนการรบ โดยมากมักปฏิบัติงานควบคู่กับหน่วยรบในสนามรบ ประกอบด้วย
- ทหารปืนใหญ่ (ป.) ใช้ปืนใหญ่ ในการยิงสนับสนุนให้กับหน่วยกำลังรบ
- ทหารช่าง (ช.) เป็นฝ่ายช่วยเหลือทางเทคนิคด้านงานช่าง ก่อสร้าง ซ่อม หรือทำลาย สิ่งก่อสร้างต่างๆ
- ทหารสื่อสาร (ส.) เป็นฝ่ายช่วยเหลือทางเทคนิคด้านงานสื่อสาร
- ทหารการข่าว (ขว.)
เหล่าช่วยรบ: เหล่าช่วยรบ เป็นฝ่ายส่งกำลังหรือสิ่งอุปกรณ์ช่วยเหลือการรบ โดยมากปฏิบัติงานแนวหลังในสนามรบ ประกอบด้วย
- ทหารสรรพาวุธ (สพ.) เป็นฝ่ายสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์จำพวก อาวุธ กระสุน วัตถุระเบิด ตลอดจนยานพาหนะในการรบ
- ทหารพลาธิการ (พธ.) เป็นฝ่ายสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์จำพวก อาหาร เครื่องแต่งกาย เชื้อเพลิง ยุทธภัณฑ์ส่วนบุคคล
- ทหารแพทย์ (พ.) เป็นฝ่ายสนับสนุนสิ่งอุปกรณ์ในกลุ่มเวชภัณฑ์ และสิ่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงเป็นฝ่ายรักษาพยาบาลให้กับทหารและครอบครัวทหาร
- ทหารขนส่ง (ขส.) เป็นฝ่ายอำนวยความสะดวกเรื่องการขนส่งกำลังพล และสิ่งอุปกรณ์
เหล่าสนับสนุนการช่วยรบ : เหล่าสนับสนุนการช่วยรบ นอกจากนี้ยังมีหน่วยอื่นๆ ที่มิได้เป็นหน่วยที่เกี่ยวข้องกับการรบโดยตรง ประกอบด้วย
- ทหารสารบรรณ (สบ.) มีหน้าที่ดำเนินการด้านธุรการ เอกสาร ทะเบียนประวัติ และงานสัสดี
- ทหารการเงิน (กง.) ปฏิบัติงานด้านการเงิน บัญชี งบประมาณ และการเบิกจ่ายงบประมาณ
- ทหารพระธรรมนูญ (ธน.) ดำเนินการด้านกฎหมาย การศาลทหาร และงานทนาย
- ทหารแผนที่ (ผท.) มีหน้าที่สำรวจและจัดทำ แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ
- ทหารการสัตว์ (กส.) มีหน้าที่ดูแลสัตว์ในราชการกองทัพ
- ทหารดุริยางค์ (ดย.) มีหน้าที่ให้ความบันเทิง
- ทหารสารวัตร (สห.) มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยและระเบียบวินัยของทหาร
จุดอ่อนสหรัฐแพ้สงครามเวียดนาม
สงครามเวียดนาม หรือที่เวียดนามเรียกสงครามต่อต้านอเมริกา มีพื้นที่การรบในเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2498 จนกรุงไซ่ง่อนถูกยึด เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2518
การต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ โดยเวียดนามเหนือได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต สาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศพันธมิตรฝ่ายลัทธิคอมมิวนิสต์อื่น ส่วนเวียดนามใต้ได้รับการสนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย ไทย และประเทศพันธมิตรฝ่ายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อื่น
สงครามเวียดนามนี้เป็นสงครามตัวแทนในยุคสงครามเย็นซึ่งกินระยะเวลาถึง 19 ปี โดยการมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงของสหรัฐอเมริกาสิ้นสุดลงใน พ.ศ. 2516 และรวมไปถึงสงครามกลางเมืองลาว และสงครามกลางเมืองกัมพูชา ซึ่งจบลงด้วยทั้งสามประเทศได้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ในปี 2518 ถือเป็นความพ่ายแพ้ที่ใหญ่หลวงของสหรัฐอเมริกาที่ทุ่มเททิ้งระเบิดลงใน 3 ประเทศดังกล่าว
ปริมาณระเบิดสูงกว่าการใช้ระเบิดในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สองรวมกันเสียอีก (ในมหาสงครามโลกทั้งสองครั้งมีการทิ้งระเบิดถล่มกันทั้งในยุโรป แอฟริกาและเอชียทั้งหมดประมาณ 2 ล้านตัน เปรียบเทียบกับส่วนที่สหรัฐอเมริกานำระเบิดมาทิ้งในสงครามเวียดนามใน 3 ประเทศคือ ลาว กัมพูชาและเวียดนามทีปริมาณถึง 7.5 ล้านตัน)
ความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกาในเวียดนามก็คือการที่ทางสหรัฐอเมริกาไม่สามารถยึดพื้นที่ของข้าศึกคือเวียดนามเหนือได้เลยนั่นเอง
พัฒนาการทหารราบตามประวัติศาสตร์
ยุทธวิธีทหารราบ เป็นการรวมกรอบแนวคิดและวิธีการทางทหารที่ทหารราบใช้ในการรบเพื่อให้บรรลุเป้าหมายคือได้ชัยชนะในสงคราม คือการเข้าประชิดและประจัญบานข้าศึก และยึดดินแดน ยุทธวิธีทหารราบเป็นวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้
เดิมทียุทธวิธีทหารราบเป็นวิธีการสงครามที่เก่าแก่ที่สุดและมีมาทุกยุคสมัยจนถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 (ปี 2457-2461) คือการวิวัฒนาการรูปขบวนทางยุทธวิธีที่ใช้ก็มีวิวัฒนาการตามไปด้วย เช่น แฟแลงซ์ของกรีก เตซิโอของสเปน แถวตอนนโปเลียน หรือ "แนวสีแดงบาง" ของทหารสก๊อต
ในสมัยต่างๆ จำนวนกำลังที่วางกำลังเป็นหน่วยเดียวยังแตกต่างกันมาก มีตั้งแต่หลายพันถึงไม่กี่สิบนาย การรบแพ้หรือชนะในแต่ละสมรภูมิคือความสมารถของการทำลายรูปขบวนของฝ่ายตรงข้ามให้กระเจิดกระเจิงแตกพ่ายไปได้นั่นเอง
แต่การเปลี่ยนแปลงยุทธวิธีของทหารราบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ได้เน้นที่รูปขบวนของทหารราบอีกต่อไปเนื่องจากมีการพัฒนาปืนกลขึ้นมาและถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วทำให้การเน้นโดยรูปขบวนของกองทัพคือการพากันไปตายหมู่นั่นเอง
ยุทธวิธีของทหารราบจึงต้องกระจายกำลังออกห่างกันและหน่วยกำลังที่เล็กที่สุดคือระดับหมู่มักต้องดำเนินการรบแบบอิสระเป็นสำคัญ การบุกเข้าโจมตีของทหารราบมักจะเคลื่อนที่ตามหลังรถถังและยานเกราะเป็นส่วนใหญ่
ถึงแม้ว่าทหารราบจะเป็นหน่วยการรบที่สำคัญที่สุดและมีกำลังพลมากที่สุดในกองทัพแต่ทหารราบต้องอาศัยเหล่ารบอีกเหล่าหนึ่งเป็นสำคัญคือทหารม้า และต้องอาศัยทหารเหล่าอื่น ๆ เช่นเหล่าสนับสนุนการรบ เหล่าช่วยรบ และเหล่าสนับสนุนการช่วยรบจนอาจจะพูดได้ว่าทหารราบ 1 คน ต้องมีทหารเหล่าต่าง ไช่วยรบอยู่ถึง 15 คน นั่นเอง