คลื่นความร้อนถาโถม “ญี่ปุ่น” ทะลุ 41 องศาฯ เสียชีวิตแล้ว 53 ราย

ปรอทแตก! คลื่นความร้อนถาโถม “ญี่ปุ่น” อุญหภูมิพุ่งสูงสุด 41 องศาเซลเซียส รายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 53 รายจากโรคลมแดด

วันที่ 19 ส.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น ระบุว่า หลายพื้นที่ในประเทศญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับคลื่นความร้อนที่เข้าปกคลุม โดยเมื่อวันที่ 17 ส.ค.63 เมืองฮามามัตสึ ทางตะวันตกของจังหวัดชิซูโอกะ มีอุณหภูมิสูงถึง 41 องศาเซลเซียส ซึ่งตรงกับอุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึกไว้สูงสุดเทียบเท่ากับเมืองคูมางายะ ในจังหวัดไซตามะ ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม ในปี 2561

รายงานระบุว่า ญี่ปุ่นเผชิญกับคลื่นความร้อนที่รุนแรงมาตั้งแต่กลางสัปดาห์ที่แล้วโดยมีหลายเมืองและจังหวัดใกล้อุณหภูมิ 40องศาฯ ติดต่อกันหลายวัน ทั้งนี้ อุณหภูมิกลางวันโดยเฉลี่ยในเดือนสิงหาคมของเมืองฮามามัตสึ ระหว่างปี 1898 ถึง 2010 คือ 31.3 องศาฯ

"วันจันทร์ (17 ส.ค.63) เป็นวันที่ร้อนมากแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน ฉันสวมหน้ากากออกไปข้างนอก และเหงื่อท่วมตัวด้วยความร้อน" ซาโตรุ โชจิ ซึ่งทำงานที่สำนักงานการท่องเที่ยวเมืองฮามามัตสึ กล่าว

ในวันเดียวกัน เมืองต่างๆ ในจังหวัดนะกาโนะ กิฟุ นารา โคจิ และมิยาซากิ ก็มีอุณหภูมิสูงกว่า 39 องศาฯ ขณะที่โตเกียวต้องตกอยู่ในสภาพอากาศ 36.5 องศาฯ ซึ่งนานติดต่อกันถึง 3 วัน ส่วนโอซากามีอุณหภูมิสูง 37.1 องศาฯ ด้านเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างเกียวโตพุ่งไปถึง 38.7 องศาฯ

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขของญี่ปุ่น ขอให้ประชาชนใช้ความระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงโรคลมแดด และโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อนอื่นๆ แนะนำให้ดื่มน้ำมากๆ หลบแดด และอยู่ในห้องแอร์ ล่าสุด มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากอากาศร้อนจัดอย่างน้อย 53 คน

คาดการณ์ว่าอากาศร้อนจะเกิดขึ้นต่อเนื่องจนถึงช่วงสุดสัปดาห์สำหรับทางตอนใต้ของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลว่าหน้ากากอนามัยที่สวมไว้เมื่อออกข้างนอกเพื่อป้องกันโควิด-19 อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคลมแดด โดยวิธีแก้ปัญหาก็คือถอดออก และใช้วิธีรักษาระยะห่างอย่างน้อย 2 เมตรขึ้นไปเมื่อพบปะพุดคุยกับคนอื่นๆ

ทั้งนี้ อุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของญี่ปุ่นเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่อุทยานแห่งชาติ Death Valley ในแคลิฟอร์เนีย มีอุณหภูมิสูง 54.4 องศาฯ (130 องศาฟาเรนไฮต์) ซึ่งใกล้เคียงกับสถิติเดิม โดย Death Valley แห่งนี้ เป็นเจ้าของอุณหภูมิสูงสุดตลอดกาลที่ 56.6 องศาฯ (134 องศาฟาเรนไฮต์) โดยบันทึกไว้ราวกว่า 100 ปีก่อน เมื่อ ค.ศ.1913