ยุทธพงศ์ แฉซ้ำ! เห็นประธานอนุ กมธ. คุยกับ "นายพล ป." ก่อนโหวตหนุนซื้อเรือดำน้ำ
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 กล่าวก่อนเข้าห้องประชุมในคณะอนุกรรมาธิการฯ ถึงการประชุมเมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ
ซึ่งในที่ประชุมมีการบันทึกเสียงและบันทึกชวเลข วันนี้ (24 ส.ค.) จึงจะขอนายสุพล ฟองงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะอุนุกรรมาธิการฯ ให้เปิดเผยบันทึกการประชุมว่าในการประชุมวันนั้นได้พูดคุยกันอย่างไรบ้าง ซึ่งไม่มีใครเห็นด้วยกับการซื้อเรือดำน้ำเลยจึงมีมติให้แขวนการซื้อเรือดำน้ำไว้ก่อน
แต่ทางกองทัพเรือได้แจ้งมาว่าจะขอชี้แจงใหม่ โดยให้เหตุผลว่า
- ได้มีการทำสัญญาระหว่างรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ไว้แล้ว ซึ่งผูกพันการซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ ลำที่ 3 หากไม่ซื้อจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และผิดสัญญาจนอาจทำให้เกิดการฟ้องร้อง
- มีการลงนามร่วมกันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับ รัฐมนตรีกลาโหมของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งการลงนามดังกล่าวเป็นการตกลงที่จะซื้อเรือลำที่ 2 และ 3 หลังจากนั้น ทางคณะกรรมาธิการก็ให้กองทัพเรือนำเอกสารรายละเอียดดังกล่าวมายื่น ซึ่งเมื่อตรวจสอบเอกสารแล้ว ตนเองเห็นว่าในเอกสารฉบับที่ 1 ไม่ระบุว่าให้ซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 แต่ระบุให้ซื้อเพียงลำเดียวคือ ลำที่ 1 ส่วนเอกสารฉบับที่ 2 ตนเองได้เอกสารมาแล้ว อยู่ระหว่างการตรวจสอบและจะแฉว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้ไปเซ็นอะไรไว้ ซึ่งเชื่อว่าเอกสารดังกล่าวไม่เกี่ยวกับเรื่องเรือดำน้ำ แต่ทางกองทัพเรืออ้างว่าเกี่ยวกับเรือดำน้ำ
ทั้งนี้ บริษัทจากประเทศจีนที่มาลงนามเอกสารจัดซื้อเรือดำน้ำลำแรกคือ บริษัท ไชน่า ชิป บิวดิ้ง แอนด์ ออฟชอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งบริษัทนี้ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ แม้จะอ้างว่าเป็นรัฐวิสาหกิจก็ตาม แต่ในคำพิพากษาในคดีจำนำข้าวของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาแล้วว่า หากเป็นการจัดซื้อจีทูจี ก็เป็นเรื่องของรัฐบาลต่อรัฐบาลเท่านั้น ซึ่งตนเองจะไม่ให้การจัดซื้อเรือดำน้ำผ่านอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ นายยุทธพงศ์ กล่าวก่อนเข้าห้องประชุมในคณะอนุกรรมาธิการฯ ถึงการลงมติในคณะอนุกรรมาธิการฯ ในการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ที่มีมติออกมา 5 ต่อ 4 ว่า ตนเชื่อว่าหากไม่มีใครล็อบบี้อนุกรรมาธิการ ใครจะกลับคำในสิ่งที่ตนเองพูด มีเหตุผลอะไรที่ต้องไปยกมือให้กองทัพเรือซื้อเรือดำน้ำ หากมีบันทึกชวเลขออกมาก็จะรู้ว่ามีใครที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย และมีการกลับคำพูดหรือไม่ โดยตนเองได้พูดคุยกับประธานเมื่อมีการลงมติและมีเสียงเสมอกัน 4 ต่อ 4 ว่าให้ประธานวางตัวเป็นกลางไม่ต้องลงคะแนน และให้ส่งเรื่องไปที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ซึ่งมองว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ประธานฯ ก็มีเหตุผลจำเป็นและทำการโหวตให้จัดซื้อเรือดำน้ำอีกเสียงหนึ่งซึ่งถือเป็นเสียงตัดสิน
อย่างไรก็ตาม ก่อนประธานจะตัดสินใจโหวตนั้น มีการพักการประชุม และมี ส.ส. มาบอกกับตนเองว่า ประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ รับโทรศัพท์จาก "นายพล ป." ขณะที่ทุกคนในห้องประชุมก็เห็นและรับรู้กันหมดว่ามีโทรศัพท์เข้ามาหาประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ โดยเป็นการคุยที่ไม่ได้เปิดลำโพง