เกาเหลาสีกากี! “วิระชัย” ส่งทนายยื่นฟ้อง “จักรทิพย์” สกัดนั่ง ผบ.ตร.

เกาเหลาสีกากี! “วิระชัย” ส่งทนายยื่นฟ้อง “จักรทิพย์” สกัดนั่ง ผบ.ตร.

เกาเหลาสีกากี! “วิระชัย” ส่งทนายยื่นฟ้อง “จักรทิพย์” สกัดนั่ง ผบ.ตร.
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ส่งทนายยื่นฟ้อง “ผบ.ตร.” ปมใช้อำนาจกลั่นแกล้ง ตัดสิทธิขึ้นตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ที่ศาลอาญา คดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งถูก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งสำรองราชการ ได้มอบหมายให้ สัญชัย ทรัพย์เจริญ ทนายความส่วนตัว เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นจำเลยในข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือผู้หนึ่งผู้ใดได้ประโยชน์

โดยคำฟ้องระบุว่า จำเลยเป็นข้าราชการตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบข้อบังคับ

สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่รถของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ 'บิ๊กโจ๊ก' และในขณะนั้นจำเลยไม่ได้อยู่ในราชอาณาจักรไทยและโจทก์ขณะนั้นรักษาราชการแทนจำเลยในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงมีฐานะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนทั่วราชอาณาจักร และมีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมการปฏิบัติราชการทั้งปวงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติแทนจำเลยตามกฎหมาย เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นจนเห็นว่าเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชน จึงเข้าไปควบคุมกำกับดูแลและเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้มีการจัด คนร้ายได้โดยเร็ว

ต่อมา ขณะที่จำเลยอยู่ในต่างประเทศได้โทรศัพท์ติดต่อมายังโจทย์เวลาประมาณ 21.30 น. ซึ่งเวลาดังกล่าวโจทก์เข้านอนแล้ว ไม่สะดวกที่จะจดบันทึกรายละเอียดในการสนทนาเพราะเป็นเรื่องปัจจุบันทันด่วน จึงต้องใช้การบันทึกเสียงแทนการจดบันทึกเพราะเห็นว่ากรณีมีคำแนะนำที่สำคัญและเป็นประโยชน์ที่จะนำไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานต่อไป

จากบทสนทนาดังกล่าวเห็นได้ว่า จำเลยได้พูดระบายความรู้สึกในใจของจำเลย ที่มีต่อพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล พร้อมทั้งการกระทำของโจทก์ที่เข้าไปควบคุมคดีนี้ การสนทนาดังกล่าวจึงไม่เป็นข้อสั่งการทางราชการเพราะขณะนั้นจำเลยอยู่นอกราชอาณาจักรไทย ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย และบทสนทนาดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นความลับทางราชการ

ต่อมามีผู้ไม่หวังดีนำคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวไปเผยแพร่ทางสื่อมวลชน ทำให้จำเลยไม่พอใจโจทย์อย่างมาก ประกอบกับเป็นช่วงระยะเวลาที่จะมีการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแทนจำเลยที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2563 ซึ่งโจทก์เป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งเพราะโจทก์มีอาวุโสอันดับ 1 และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่จำเลยไม่ต้องการให้โจทก์ได้รับการแต่งตั้ง จึงได้ดำเนินการออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยหลายประการ เพื่อให้โจทก์เป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือไม่เหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ต่อมาจำเลยได้มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีโทรศัพท์สั่งการคดียิงรถ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทำตามคำสั่งมีข้อสรุปว่ามีมูลเพียงพอรับฟังได้ว่าโจทก์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียหายเพราะทำให้โจทก์ต้องถูกบังคับจากคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเสียสิทธิ์ในการได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาวุโส อันดับ 1

เนื่องจากขาดคุณสมบัติเพราะถูกสำรองราชการและเกิดความเสียหาย เนื่องจากการสำรองราชการไม่มีเงินประจำตำแหน่ง เหมือนตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และไม่มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรวมทั้งไม่มีเกียรติ ไม่มีศักดิ์ศรี เท่ากับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และถือเป็นตำแหน่งที่มีไว้สำหรับตำรวจผู้กระทำผิดอาญาอย่างร้ายแรง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา 91

ทั้งนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้รับคำฟ้องไว้พิจารณาและนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา ในชั้นตรวจคำฟ้องวันที่ 8 ก.ย. เวลา 9:30 น โดยที่ตัวจำเลยยังไม่ต้องเดินทางมาฟังคำสั่ง แต่ฝ่ายโจทก์ ต้องมาฟังคำสั่งว่า คำฟ้องครบถ้วนตามกฎหมายหรือไม่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook