ม.4ถูกแท็กซี่จี้ คดีที่พ่อแม่ไม่รู้

ม.4ถูกแท็กซี่จี้ คดีที่พ่อแม่ไม่รู้

ม.4ถูกแท็กซี่จี้ คดีที่พ่อแม่ไม่รู้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เมื่อเป็นภัยที่เกิดกับเด็กนักเรียน ตำรวจห้วยขวางจึงเร่งรีบสืบสวนหาตัวคนร้ายโดยเร็ว ป้องกันไม่ให้ไปก่อเหตุที่ไหนอีก ทว่าข้อมูลที่ได้จากผู้เสียหายทำให้ตำรวจเกิดความสับสน โดยเฉพาะหลายเรื่องไม่ตรงกันข้อเท็จจริง

เที่ยงครึ่งวันเสาร์ที่ 5 กันยายน ที่ผ่านมา น้องเบลล์ นักเรียน ม.4 โรงเรียนเอกชนชื่อดังในซอยสามเสน 13 กรุงเทพฯ วัย 16 ปี แจ้งต่อตำรวจสืบสวน สน.ห้วยขวาง ว่า ถูกโชเฟอร์แท็กซี่จี้ชิงทรัพย์ได้เงินไป 4,000 บาท

เธอเล่าว่า ตอนเช้าออกจากบ้านพักย่านจรัญสนิทวงศ์ในชุดนักเรียน นั่งรถเมล์มาเรียนหนังสือที่โรงเรียน หลังจากเรียนเสร็จก็เรียกรถแท็กซี่สี ชมพู จำทะเบียนได้แค่ ทย 99 ส่วนหมายเลขสองตัวหลังจำไม่ได้ จากเชิงสะพานกรุงธนไปหาเพื่อนที่ซอยปรีดีพนมยงค์ ย่านคลองตัน ระหว่างทางเผลอหลับ พอรู้สึกตัวอีกทีก็รู้ว่าไม่ใช่เส้นทางไปประจำ สอบถามคนขับแท็กซี่บอกว่า เป็นเส้นทางลัด จากนั้นไม่นานก็จอดรถแจ้งว่าท่อก๊าซเอ็นจีวีหลุด จึงเปิดฝากระโปรงหน้ารถแล้วกระโดดขึ้นมานั่งเบาะหลัง ใช้มีดจี้เอาเงินไป 4,000 บาท ซึ่งเป็นค่าเรียนพิเศษ แล้วยังพยายามแย่งโทรศัพท์มือถือ จึงร้องบอกไปว่า หากมีใครทำกับลูกพี่แบบนี้จะทำอย่างไร โชเฟอร์แท็กซี่จึงไล่ลงจากรถ เนื่องจากไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนเลยโทรบอกเพื่อนให้แจ้งตำรวจ ไม่นานตำรวจสายตรวจก็มาถึง

เมื่อได้ข้อมูลแล้ว พ.ต.ต.จิระพันธุ์ แป้นทอง สว.สส. และ ร.ต.อ.สมพล เหลืองพิพัฒน์ชัย รอง สว.สส.สน.ห้วยขวาง พร้อมชุดสืบสวน นำน้องเบลล์ไปชี้จุดเกิดเหตุบริเวณถนนเลียบรั้ว รฟม.แล้วให้ติดต่อผู้ปกครอง แต่เด็กบอกว่าทำงานอยู่ต่างจังหวัด ก่อนจะทิ้งหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อไว้ 3 เลขหมาย เป็นเบอร์บ้าน 1 เบอร์ และมือถืออีก 2 เบอร์

ด้าน พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 หลังจากได้รับรายงานจึงกำชับให้ พ.ต.อ.อนุรักษ์ นาคพนม ผกก.สน.ห้วยขวาง ติดตามการสืบสวนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นภัยที่เกิดกับเด็กนักเรียน โดยเริ่มจากการตรวจสอบรถแท็กซี่ตามทะเบียนที่ผู้เสียหายจำได้ พร้อมทั้งตำหนิรูปพรรณคนขับแท็กซี่ที่เด็กบอกว่า คนละคนกับบัตรประจำตัวคนขับแท็กซี่ที่ติดอยู่ด้านหน้า ไม่นานตำรวจก็พบว่ารถแท็กซี่ต้องสงสัยเป็นของสหกรณ์แท็กซี่แห่งหนึ่ง มีอยู่ด้วยกัน 5 คัน แต่ผู้ที่มีตำหนิรูปพรรณตรงกับคำบอกเล่ามีเพียง 1 คนเท่านั้น

ชุดสืบสวนจึงติดต่อกลับไปหาน้องเบลล์ให้มาดูตัว เธอกลับบอกว่าไม่ต้องการเอาเรื่อง ที่สำคัญคือ ไม่สามารถจดจำใบหน้าคนร้ายได้ หลังจากนั้นชุดสืบสวนก็ไม่สามารถติดต่อได้อีก ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือทั้ง 2 เบอร์และเบอร์บ้าน ทำให้ชุดสืบสวนอดคิดไปไม่ได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกับคำให้การที่ดูไม่ปะติดปะต่อและขัดแย้งกันเอง โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าสามารถแยกแยะใบหน้าคนขับกับบัตรที่ติดหน้ารถได้ว่า เป็นคนละคนกัน แต่พอให้มาดูตัวกลับบอกว่าจำหน้าคนร้ายไม่ได้ ประกอบกับจุดเกิดเหตุอยู่ลึกเข้าไปหลายร้อยเมตร ถนนเลียบรั้ว รฟม.เต็มไปด้วยฝุ่นทว่ารองเท้าของเด็กกลับไม่เปรอะเปื้อนเลยสักนิดเดียว

อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้เสียหาย ชุดสืบสวนจึงพยายามแสวงหาความจริงเกี่ยวกับตัวคนร้ายให้ได้มากที่สุด จึงตามไปที่บ้านที่เด็กให้ข้อมูลเอาไว้กับพนักงานสอบสวน พบว่าเป็นบ้านเช่าสองชั้นแคบๆ ย่านบางขุนนนท์ ชุดสืบสวนดูแล้วเชื่อว่าไม่น่าจะใช่ที่อยู่ของเด็ก จึงตรวจสอบกับสำนักทะเบียนราษฎร แล้วเดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งในซอยจรัญสนิทวงศ์ 35 จากนั้นวันรุ่งขึ้นจึงเดินทางไปที่บ้านหลังดังกล่าว พบน้องของผู้เสียหาย ซึ่งอายุห่างกันไม่กี่ปี บอกว่าพ่อกับแม่ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่สาว

"ตอนกลับมาบ้าน พี่บอกกับหนูว่าเพื่อนถูกแท็กซี่จี้ชิงทรัพย์ เลยโทรกลับไปหาเพื่อนพี่สาว เขาบอกว่า ไม่ใช่เขา แต่เป็นพี่สาวหนูต่างหากที่โดนจี้"

"เมื่อเช้า (วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน) พ่อจับได้ว่าพี่ขโมยตังค์ไป 5,000 บาท พี่สาวเลยถูกตี ตอนนี้ก็ยังไม่กลับบ้าน" เธอพูดไปตามประสาเด็ก

ระหว่างนั้นพ่อกับแม่ของน้องเบลล์กลับเข้ามาที่บ้าน และได้รับฟังคำบอกเล่าจากปากตำรวจแล้วยอมรับว่า ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน และไม่เชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้กับลูกสาว และเขากับเธอก็ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ตลอด ไม่ได้มีงานทำที่ต่างจังหวัดแต่อย่างใด

ข้อมูลแวดล้อมที่ได้มาล้วนขัดแย้งกับข้อมูลพื้นฐานการประทุษกรรมที่เกิด กับเด็กสาววัย 16 ปี ชุดสืบสวนสงสัยว่า ความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ และเกิดอะไรขึ้นกับเด็กกันหนอ ดังนั้น จึงเดินทางไปยังโรงเรียนต้นสังกัดของเด็ก ครูยอมรับว่า วันเสาร์โรงเรียนเปิดการเรียนการสอนจริง แต่น้องเบลล์ไม่ได้มาเรียนหนังสือแต่อย่างใด ชุดสืบสวนโทรติดต่ออีกครั้งก็ไม่สามารถติดต่อได้ ครูโทรไปที่บ้านแม่เป็นคนรับสาย บอกว่า ลูกสาวป่วยขอลาหยุด 1 วัน

พ.ต.อ.อนุรักษ์ บอกว่า ขณะนี้ตำรวจติดตามตัวผู้เสียหายได้ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากข้อมูลที่ให้มากับการสืบสวนไม่ตรงกัน จึงอยากให้มายืนยันข้อมูลที่แน่ชัด จะได้ติดตามตัวคนร้ายมาดำเนินคดี ตอนนี้ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ จะพยายามติดต่อผู้เสียหาย เพื่อไขความกระจ่างเรื่องนี้ให้ได้ รวมถึงตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับคนร้ายควบคู่กันไป ส่วนผลของคดีจะออกมาอย่างไรคงพูดอะไรตอนนี้มากไม่ได้

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook