เชียงใหม่โร่แจง ข่าวลือปิดมัสยิดเพราะต่างด้าวมาละหมาด จริงๆแล้วเป็นคนไทย มีไข้สูง

สาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ ออกแถลงจากกรณี มีกระแสข่าวการปิดมัสยิดอัตตักวา เนื่องจากพบว่ามีมุสลิมต่างด้าวเข้าข่ายเฝ้าระวังกักตัวและรักษานั้น ศูนย์ข้อมูลข่าวสารเฉพาะกิจ จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงเบื้องต้นดังนี้ 

บุคคลชาวมุสลิมดังกล่าวเป็นชายชาวเชียงใหม่ ภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งปกติจะไปละหมาดที่มัสยิดช้างคลานเป็นประจำ แต่เมื่อวันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2563 ที่ผ่านมาได้ไปละหมาดที่มัสยิดมัสยิดอัตตักวา ซึ่งคนที่มัสยิดอัตตักวา ไม่มีใครรู้จักชายดังกล่าว จึงหาว่าเค้าเป็นคนต่างด้าว 

ทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ได้ประสานงานกับเทศบาลนครเชียงใหม่ และ ศปค. อำเภอเมืองเชียงใหม่ ส่งทีมสอบสวนโรคลงพื้นที่ เพื่อติดตามข้อเท็จจริง พบว่าบุคคลดังกล่าว เป็นชายไทย อายุ 29 ปี อาชีพสถาปนิก มีบ้านพักอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ เดินทางกรุงเทพ-เชียงใหม่ เป็นประจำ โดยปกติจะไปละหมาดที่มัสยิดช้างคลาน แต่เมื่อวันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2563 ได้ไปทำธุระในพื้นที่ใกล้กับมัสยิดอัตตั๊กวา เวลาประมาณ 12.00-12.30 น. ได้เข้าไปคัดกรองอุณหภูมิที่มัสยิด เพื่อที่จะเข้าไปประกอบพิธีละหมาด พบว่าวัดอุณหภูมิ ได้ 37.8 องศา เนื่องจากเดินตากแดดมาระยะทางค่อนข้างไกล ทางเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้เข้าไปในมัสยิด จึงเดินทางกลับ และได้แวะห้างแห่งหนึ่ง วัดไข้ 2 ครั้ง พบอุณหภูมิปกติไม่มีไข้ จากการซักประวัติชายคนดังกล่าวไม่มีประวัติการเดินทางไปต่างประเทศหรือเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงแต่อย่างใด

แต่เนื่องด้วย เจ้าหน้าที่ของมัสยิดอัตตักวา ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นชายคนดังกล่าว จนเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นชาวต่างด้าว เมื่อทางมัสยิดช้างคลานทราบเรื่อง จึงได้ทำการประกาศปิดมัสยิด เพื่อทำความสะอาดและวางแผนการป้องกันควบคุมโรค จนทำให้เกิดการเข้าใจผิดและสร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชน อย่างไรก็ตามทางเทศบาลนครเชียงใหม่ได้เก็บตัวอย่างสิ่งส่งตรวจของชายคนดังกล่าว ส่งตรวจหาเชื้อโควิดที่โรงพยาบาลนครพิงค์ ในวันนี้(8 กันยายน 2563) และอยู่ระหว่างรอผลตรวจ เพื่อความสบายใจและความปลอดภัยของประชาชนชาวเชียงใหม่

ทั้งนี้ทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ขอให้ประชาชนมั่นใจ ในการป้องกันควบคุมโรค รวมถึงแนวทางการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงตามมาตรฐานของกรมควบคุมโรค และเน้นย้ำให้ประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก แต่ยังคงรักษามาตรฐานป้องกันตัวเองให้เป็นนิสัย ด้วยการใส่หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน และไปในที่สาธารณะ เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น หลีกเลี่ยงการนำมือมาสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูก ปาก และเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่แออัด คนรวมกันจำนวนมาก