โซเชียลสุดทนจน #แบนลุงพล ติดเทรนด์ ช่างภาพช่องดังลาออก ไม่ขอทำข่าวนี้อีกแล้ว
สืบเนื่องจากคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ที่แม้จะกินเวลายืดเยื้อยาวนาน ก็ยังไม่สามารถไขปริศนาการเสียชีวิตของเด็กหญิงได้ แต่จากการนำเสนอข่าวในหลากหลายแง่มุมของสื่อมวลชนดังหลายสำนัก ก็ทำให้ชีวิตของ "ลุงพล" หรือ นายไชย์พล วิภา ลุงเขยของน้องชมพู่ พลิกผันจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าหลานตัวเอง กลายมาเป็นคนดังแห่งบ้านกกกอก ได้รับความสนใจจากสังคม นำไปสู่การมีผู้ติดตามในโลกออนไลน์ การจ้างงานเป็นพรีเซนเตอร์ต่างๆ
จนกระทั่งสังคมเริ่มตั้งคำถามถึงจรรยาบรรณในการนำเสนอข่าว ที่ดูจะห่างไกลจากข้อเท็จจริงออกไปทุกที และทำให้ความสนใจของคนในสังคมเบี่ยงเบนไปจากเรื่องการตายของน้องชมพู่ จนกลายมาเป็นการตามติดชีวิตของลุงพล ไปจนถึง ป้าแต๋น ผู้เป็นภรรยาไปเสียแล้ว
ล่าสุดวันนี้ (9 ก.ย.) ในโลกออนไลน์ก็ได้มีการติดแฮชแท็ก #แบนลุงพล กระหึ่มโซเชียล หลังเรื่องราวของลุงพลถูกนำเสนอในสื่อต่างอย่าง "มากเกินพอดี"
นอกจากชาวเน็ตจะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้น คนดังอย่าง ครูลูกกอล์ฟ คณาธิป สุนทรรักษ์ พิธีกร และครูสอนภาษาอังกฤษชื่อดัง ก็ยังได้ออกมาเคลื่อนไหวเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ระบุว่า
"สื่อหลัก สื่อรอง สื่อใดๆ สำคัญมากจริงๆ ดูง่ายๆพวกคุณสามารถเปลี่ยนเรื่องการเสียชีวิตของเด็กผู้หญิงคนนึง ให้กลายเป็นอะไรไปแล้วไม่รู้ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอคะ ? ไม่มีใครในองค์กรเตือนกันบ้าง หรือเอะใจสักหน่อย? ส่วนพวกเราคงทำได้ ไม่ต้องแชร์ข่าวพวกนั้นต่อ"
นอกจากนี้ ยังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Songpon Ruengsamut ซึ่งเป็นหัวหน้าช่างภาพของ สำนักข่าวโทรทัศน์ช่องดังสำนักหนึ่ง ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า ตนทนไม่ไหวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนต้องขอลาออกจากงาน เพราะไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตเรื่องราวเหล่านี้อีกต่อไป ข้อความระบุว่า
ขอโทษกับความเน่าเฟะกรณีลุงพล ป้าแต๋น และบ้านกกกอก จากน้ำมือของ "สื่อมวลชนอย่างพวกเรา" ที่หยิบยื่นให้กับสังคม ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา
ผมทำหน้าที่เป็นหัวหน้าช่างภาพข่าวของหนึ่งในสถานีโทรทัศน์ที่นำเสนอข่าวนี้มาโดยตลอด ผมทำงานที่นี่มา 6 ปี ตั้งแต่วันแรกของการออกอากาศ จนวันนี้ไม่สามารถอดทนกับเรื่องที่เกิดขึ้นและได้ตัดสินใจเดินออกมาแล้ว
จากคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ที่ถูกนำเสนอโดยสื่อมวลชนกลุ่มหนึ่งและ "ผมคือหนึ่งในนั้น" ที่มีส่วนทำให้คดีความ 1 คดี กลายเป็นเรียลลิตี้ชีวิตของลุงพล-ป๋าแต๋น เรียลลิตี้ความแตกแยกของครอบครัวๆหนึ่ง ชีวิตคนในหมู่บ้านกกกอก เรื่องไสยศาสตร์ ความงมงาย และการมอมเมา
"เราขายข่าวรายวัน" "เราหน้าไม่อาย" "เราไม่สนผิดถูก" "เราไร้จรรยาบรรณ" คือสิ่งที่สังคมตั้งคำถาม และมันถูกต้องทั้งหมด เรานำเสนอเรื่องราวที่ห่างไกลจากสิ่งที่ควรจะเป็นจนกู่ไม่กลับ หาประโยชน์และปล่อยให้กลุ่มคนที่ต้องการผลประโยชน์จากเรื่องนี้เข้ามารุมทึ้ง "เราอยากได้กระแส และต้องการเพียงแค่ยอดคนดู ยอดกดไลก์ ยอดแชร์"
บางคนแก้ต่างว่าสิ่งที่เกิดขึ้น สื่อฯอย่างพวกผม ทำไปเพื่อตอบสนองความกระหายใคร่รู้ของคนในสังคม หรือช่วยเหลือให้ชาวบ้าน 2 คนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น มันไม่ใช่แค่สิ่งนั้นแน่นอน มันคือผลประโยชน์ทั้งนั้น
ยอมรับกันสักทีเถอะว่า "เรา" คือตัวแปรสำคัญ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความบิดเบี้ยวทั้งหมดนี้ เพราะเราหิวกระหายเรตติ้งกันเหลือเกิน "เรตติ้ง" คือทุกสิ่งทุกอย่าง "เรตติ้ง" คือปัจจัยที่จะบอกได้ว่าคุณอยู่หรือไป
และ "เรตติ้ง" ก็กลายเป็นข้ออ้าง ที่ทำให้คนบางกลุ่มยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้มา
ผมเป็นหนึ่งคนที่รับรู้เรื่องราว ที่ถูกสร้าง ปั้นแต่งและถูกนำเสนอผ่านหน้าจอมาโดยตลอด และตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า "พวกเราทำอะไรกันอยู่" "มันไม่ใช่ปรากฏการณ์ ไม่ใช่ความแปลกใหม่ ไม่ใช่..อะไรทั้งสิ้น"
วันนี้ ผมซึ่งระลึกเสมอว่าตัวเองเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ และพยายามจะแก้ไขอะไรบ้าง แต่สุดท้าย "ผมขอยอมแพ้กับความบิดเบี้ยว และยอมรับว่าตัวเองไม่สามารถท้วงติง หรือเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกิดขึ้นจากต้นทางได้"
ทุกอย่างยังดำเนินต่อไป ด้วยเหตุผลที่สรรหากันมา
ผมขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และหวังว่าเมื่อเหตุการณ์จบลง ทั้งเราและคนดูบางกลุ่มน่าจะได้บทเรียนจากเรื่องนี้บ้าง และขออย่าเหมารวมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือภาพทั้งหมดของ "สื่อมวลชน" ผมยืนยันว่าในสภาวะที่มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องเผชิญ วันนี้ยังคงมีเพื่อนสื่อมวลชน ที่พยายามทำหน้าที่ของตัวเอง ทำหน้าที่ของสื่ออย่างที่ควรจะเป็นให้ได้ดีที่สุด ผมขอบคุณและขอให้กำลังใจเพื่อนสื่อมวลชนที่ยังยืนหยัดทำหน้าที่อย่างถูกต้องต่อไป
ทรงพล เรืองสมุทร
9 กันยายน 63
หลังการประชุมที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง