"แนท อนิพรณ์" เคลียร์! ดราม่าฉาว หลังคุณแม่ร่ำไห้ออกสื่อ ถูกทวงหนี้หลักล้าน
กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมากทั้งในสังคมและในโลกออนไลน์ สำหรับการออกมายอมรับเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน หนี้สิน และความสัมพันธ์กับลูกสาวของ แม่ต่าย คุณแม่นางเอกสาวชื่อดัง แนท-อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์ เจ้าของมงกุฎ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2015
ล่าสุด ทางด้านของ แนท อนิพรณ์ ที่เดินทางมาร่วมเดินแฟชั่นโชว์ในงาน Wedding Fair 2020 by NEO ก็ได้ออกมาเปิดใจกับกองทัพสื่อถึงประเด็นร้อนดังกล่าว ซึ่งเธอยอมรับแบบตรงไปตรงมาว่าไม่ได้เจอกับคุณแม่มานานกว่า 1 ปีแล้ว ส่วนรายละเอียดของปัญหาที่เกิดขึ้นตัวเธอเองก็เพิ่งทราบ แต่ถึงอย่างนั้นในฐานะลูกก็ยังยินดีและพร้อมให้ความช่วยเหลือคุณแม่เสมอเช่นกัน
เกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่ เราพอจะทราบรายละเอียดไหม ?
"จริงๆ หนูก็รับรู้พร้อมกับทุกๆ คนนะคะ อันนี้คือเรื่องจริง หนูรับรู้ข้อมูลที่ค่อนข้างลึกลับซับซ้อนหรือใดๆ ก็ตามเกี่ยวกับเจ้าหนี้พร้อมกับทุกๆ คนเลยค่ะ"
แสดงว่าเราไม่เคยทราบว่ามีเรื่องลักษณะนี้เกิดขึ้น ?
"ไม่ทราบจริงๆ ค่ะ ก็มารับทราบพร้อมกับทุกคน"
ที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสพูดคุยหรือติดต่อกับคุณแม่บ้างไหม ?
"จริงๆ หนูกับแม่เรางอนกันบ่อยอยู่แล้วค่ะ งอนตามประสาเด็กขี้น้อยใจ และหนูก็จะแบบ...เมื่อไหร่แม่จะทักมานะ คือเป็นการงอนกันเล็กๆ น้อยๆ แต่ด้วยความที่หนูไม่คิดเหมือนกันว่าการที่เราไม่ได้คุยกันเยอะๆ มันจะทำให้เราไม่รู้เรื่องอะไรขนาดนี้ เพราะที่ผ่านมาถึงแม้เราจะคุยกันบ้าง แต่ก็แค่ประปรายเท่านั้น ไม่ได้ลงดีเทลลึกๆ เลย"
เรากับคุณแม่ไม่ได้คุยกันเป็นปีอย่างที่ท่านบอกจริงหรือเปล่า ?
"ถ้าเจอกันแบบตัวต่อตัวก็คือเป็นปีค่ะ เพราะหนูจะมีบ้านที่อยู่กับคุณตาคุณยาย และบวกกับช่วงหลังมานี้หนูทำงานค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะตอนที่ถ่ายละครเรื่องรักสิบล้อ ตอนนั้นหนูเองก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านเลยด้วย หนูจะอยู่กับคุณน้าเป็นหลัก เพราะคุณน้าจะคอยดูแลรับส่ง"
ที่คุณแม่บอกว่าเอาของที่เราให้ไปขาย อันนี้เราทราบไหม ?
"ก็...จริงๆ มันก็เป็นของนอกกายเนอะ เหมือนกับที่คุณแม่ให้สัมภาษณ์นั่นแหละค่ะ"
คุณแม่มีปัญหาด้านการเงินมานานแล้วหรือเปล่า ?
"เอ่อ...ถ้าข้อมูลในข้อเท็จจริงอันนี้หนูไม่ทราบ เหมือนหนูเป็นคนที่แฟร์ๆ แมนๆ ด้วยมั้งคะ ค่อนข้างให้เกียรติและให้อิสระกับทุกคน ยกตัวอย่าง ถ้าหนูให้เงินคุณตาคุณยาย หนูก็จะไม่ถามท่านเลยว่าท่านเอาเงินไปทำอะไร หนูจะไม่ไปลงรายละเอียดตรงนั้น เพราะหนูรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบเอง"
เราเริ่มระแคะระคายเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
"ที่หนูรู้ก็เพราะมีคนติดต่อมาทางพี่สาวหนูค่ะ ตอนนั้นหนูก็งงเหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆ พี่สาวหนูเขาก็เงียบๆ ไป หนูเลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนั้นหนูถึงได้รับทราบค่ะ"
เราไม่ทราบถึงธุรกิจการทำงานของคุณแม่เลยเหรอ ?
"ถ้าในส่วนของการทำงานของคุณแม่ จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้คุณแม่ทำงานกับหนูนะคะ ก็คือหนูจะมีผู้จัดการ 3 คน มีพี่เอ มีคุณแม่ และก็ช่อง ซึ่งทั้ง 3 คนจะบริหารงานกันโดยมีคุณแม่เป็นผู้จัดการกลาง พี่เอดูแลแฟชั่นโชว์ ส่วนช่องก็จะดูเรื่องของละครทุกอย่าง ซึ่งค่าใช้จ่ายต่างๆ หนูจะหักให้แม่ 30 เปอร์เซ็นต์จากทุกงานที่แม่หาได้ และ 30 เปอร์เซ็นต์จากงานละครด้วย"
จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นใช่ไหม ?
"ใช่ค่ะ มันก็อย่างนั้นเสมอมาค่ะ"
ตั้งแต่เกิดเรื่องเราได้คุยกับคุณแม่หรือยังว่าเรื่องราวเป็นมายังไง ?
"ยังไม่ได้โทรเคลียร์กันขนาดนั้นค่ะ เพราะตอนนี้จากที่คุณแม่ให้สัมภาษณ์เหมือนท่านก็พยายามหลบเราไปหลบเรามา แต่หนูเชื่อว่าถ้าหากแม่พร้อม ยังไงแม่ก็อยากคุยกับหนูอยู่แล้ว ส่วนตัวหนูเองหนูก็อยากคุยกับแม่อยู่แล้วค่ะ"
เราเคยโดนเจ้าหนี้คุกคามบ้างไหม ?
"มันตลกอยู่อย่างหนึ่งนะคะ ก็คือทุกคนมักจะเข้าหาพี่สาวหนู แต่ไม่มีใครเข้าหาหนูโดยตรงเลย หนูยังสงสัยอยู่เลยค่ะว่าเป็นเพราะลุคหนูดูดุหรือเปล่า ทั้งๆ ที่หนูก็เฟรนด์ลี่นะ (หัวเราะ)"
รู้สึกยังไงบ้างที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เพราะชื่อเสียงเราก็สะสมมานาน ?
"หนูมองว่ามันแยกส่วนกันนะคะ หนูเป็นแบบไหน หนูก็ยังเป็นแบบนั้นเสมอมา และอย่างที่บอกเราต้องให้เกียรติเขาค่ะ เขาจะทำอะไรเราไม่สามารถไปบังคับชีวิตเขาได้"
ยังไม่ได้มีการพูดเลยกับคุณแม่เลย ?
"ใช่ค่ะ ยังไม่ได้คุยกันโดยตรงเลย"
ติดต่อไม่ได้เลยเหรอ เพราะตัวเลขมันก็ค่อนข้างสูงหลายล้านบาท ?
"เอ่อ...จริงๆ ตรงนี้ที่หนูคุยผ่านพี่สาว เหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องของกระบวนการทางกฎหมายไปแล้ว และในช่วงนี้ก็น่าจะเป็นขั้นตอนของการไกล่เกลี่ย การนัดกันไปที่สถานีตำรวจและคุยรายละเอียดกันระหว่างคุณแม่กับเจ้าหนี้ ซึ่งหนูยังไม่ได้เข้าไปแทรกแทรง"
เราไม่ได้จะเข้าไปช่วยจัดการใช่ไหม ?
"หนูไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปจัดการอยู่แล้วค่ะ เพราะเท่าที่ทราบเหมือนเขาเองก็กำลังนัดกับตำรวจ และทุกอย่างก็อยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย"
ถึงจุดจริงๆ ถ้าแม่ไม่มีเงินจะจ่ายแล้ว เราพร้อมจะซัพพอร์ตช่วยเหลือไหม ?
“คือตอนนี้หนูต้องยอมรับว่า หนูดูแลคุณตา คุณยาย และน้องมาตลอด หนูเหมือนเป็นหัวหน้าครอบครัวค่ะ ซึ่งหนูก็ยังอยากทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน เพราะว่าตอนนี้คุณตาคุณยายก็แก่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นค่าหมอ ค่ารักษาพยาบาลใดๆ หนูเป็นคนที่รับผิดชอบค่ะ ในส่วนตรงนั้นหนูต้องขอให้หนูกลับไปคุยกับทางครอบครัวหนูอีกทีหนึ่งค่ะ แต่ยังไงแล้วหน้าที่หลักของหนูคือต้องดูแลคุณตาคุณยาย และก็มีน้องอีกค่ะ”
ที่เราบอกว่างอนไม่ได้คุยกับคุณแม่เลย คือปัญหาเรื่องเงิน เรื่องที่เขาเอาของที่เราให้ไปขายหรือเปล่า ?
“ไม่ใช่ค่ะ งอนประมาณว่าแม่มารับช้าอะไรแบบนี้ค่ะ หนูถ่ายละครแล้วมันเลิกดึกแล้วแม่มารับช้าก็เหมือนงอนๆ บางทีแม่มารับช้า เหมือนคุณแม่แกเขามีปัญหาเกี่ยวกับตา ตาเขาจะฝ้าๆ ซึ่งพอผ่าตัดแล้วมันต้องมีการทำกายภาพ บางทีเขาก็ลุกไม่ไหวในการที่จะมารับส่งเรา เราก็งอน ทำไมไม่มาหา ไม่มารับไม่มาส่ง แต่ว่าน้าเขาก็เป็นคนมาแสตนบายตลอดค่ะ แต่เราก็จะงอนๆ”
เรื่องพาระหนี้สินเราไม่เคยระแคะระคายมาก่อนเลย จนมาเป็นข่าว ?
“ใช่ค่ะ หนูก็รู้พร้อมทุกคน”
แม่ได้มาขอโทษเราไหมหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ?
“คือถามว่าขอโทษไหม จริงๆ แม่ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกค่ะ เพราะว่าเหมือนที่หนูบอกมันเป็นสิทธิ์ของเขาว่าเขาจะทำอะไร หนูไม่สามารถจะห้ามได้อยู่แล้ว เหมือนกับคนที่มีลูก เราเลี้ยงลูกให้โตขึ้นมาได้ แต่เราไม่สามารถเลี้ยงความคิดความอ่านเขาได้ ถ้าเป็นในกรณีนี้ก็อาจจะคล้ายๆกัน ทุกคนก็มีสิทธิเสรีภาพทางความคิด ซึ่งหนูไม่สามารถไปจำกัดความคิดของใครได้ค่ะ”
ที่สัมภาษณ์เหมือนคุณแม่เขาจะซีเรียสว่าเจ้าหนี้จะมาต่อว่าเรา ?
“หนูก็รู้สึกดีใจนะ แต่จริงๆ เจ้าหนี้ก็ไม่ได้มีใครได้มาคุกคามหรือมาต่อว่าอะไรหนูนะ เขาก็น่ารักนะคะ ไม่งั้นเขาก็คงเหมือนเขียนด่าหนูไปแล้ว แต่ว่าก็ยังไม่มีนะคะ”
กลัวไหมว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันจะกระทบกับงาน กับภาพลักษณ์ของเรา ?
“คือเหมือนที่หนูบอกว่าต้องแยกส่วนกัน อันนั้นคือสิ่งที่แม่ทำ แต่ว่าในส่วนตัวหนูถามว่ากังวลไหมหรอ หนูก็ไม่ได่กังวลมากมายขนาดนั้นค่ะ เพราะเรารู้ว่าเราเป็นยังไง หนูเป็นยังไง หนูก็ยังเป็นอย่างนั้นเหมือนเดิม”
ตัดขาดการทำธุรกิจร่วมกันกับคุณแม่เลยไหม ?
“ตัดขาดการทำธุรกิจเหรอคะ คือจริงๆ หนูน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงการบริหารมากกว่า คือหลักๆ หนูมีผู้จัดการที่ช่อง มีพี่เออยู่แล้ว ก็มาคุยบริหารจัดการตรงนี้มากกว่าค่ะ”
แม่ไม่เคยมายืมเงินเพื่อเอาไปเคลียร์หนี้ ?
“ในส่วนที่หนูมีให้เขาหนูก็มีให้เขาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล คุณแม่ผ่าตัดตาทั้ง 2 ข้าง หนูเป็นคนโอนไวใจถึง หนูก็โอนให้แม่อยู่แล้ว ค่าทำกายภาพ ค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ เราก็มีการดูแลมาตลอดอยู่แล้วค่ะ จนถึงวันนี้ก็ยังดูแลอยู่ค่ะ”
โมเดลลิ่งของแม่ที่บอกว่าชวนคนมาลงทุน อันนั้นมีอยู่จริงใช่ไหม ?
“อันนี้หนูไม่ทราบจริงๆ ค่ะ หนูไม่ทราบ”
ในส่วนที่เราต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้แม่ อันนี้ไม่ใช่ใช่ไหม ?
“อ๋อ ไม่ใช่ค่ะ มันเหมือนกับว่าสมมติว่าแม่เขาช่วยหางานให้เรา เราก็ให้แม่เขา 30 เปอร์เซ็นต์ค่ะ มันก็คนละส่วนกันค่ะ”
แนทเองมีเป็นห่วงแม่ไหม กลัวเขาเครียดไหม?
“ในฐานะลูกก็เป็นห่วงอยู่แล้วค่ะ ก็เป็นห่วง ถามว่ากลัวเขาจะคิดมากไหม หนูรู้สึกว่าถ้าเขามาถึงตรงนี้ได้ เขาก็สตรองนะ เอาแบบตรงๆ นะ เพราะเราก็รู้พร้อมกันหมดนะ ไม่ได้รู้ก่อนหน้านี้ ถ้าสมมติว่าเจ้าหนี้เขาไม่ทวงถาม ไม่โทรหาพี่สาว เราก็ไม่ทราบ ก็เป็นห่วงอยู่แล้วค่ะ เป็นห่วงในความรู้สึกของคุณตา คุณยายด้วย หนูก็จะบอกเสมอว่าหนูจะดูแลตากับยายให้ดีที่สุดค่ะ คือทักคนก็ทราบพร้อมๆ กันนะคะ แต่ท่านก็อายุเยอะแล้ว ท่านก็ใช้คำว่าก็เข้าใจและต้องยอมรับแค่นั้นแหละค่ะ”
เรื่องนี้ไม่ได้สร้างความแตกหักให้เรากับแม่ ?
“จริงๆ ไม่ได้สร้างความแตกหักหรอกค่ะ มันแยกส่วนกันค่ะ”
อัลบั้มภาพ 15 ภาพ