ผู้ต้องหาคดี #ตามหาลูกประยุทธ์ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ชี้แค่ตั้งคำถาม ไม่ได้หมิ่นใคร
จากกรณีที่กลุ่มผู้ใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ประกาศตามหาลูกสาวฝาแฝด ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และมีการโพสต์ข้อความวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อโซเชียล เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยใช้แฮชแท็กว่า “#ตามหาลูกประยุทธ์” ซึ่งมีผู้ใช้สื่อโซเชียลฯ จำนวนมาก แสดงความคิดเห็น และแชร์ข้อความดังกล่าวเป็นจำนวนมาก รวมทั้งการตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดลูกสาวของ พล.อ.ประยุทธ์ มีความร่ำรวยผิดปกติ พร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจสอบทรัพย์สิน
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ "อภิวัฒน์ ขันทอง" ในฐานะทนายความที่ได้รับมอบอำนาจจาก "ธัญญา จันทร์โอชา" และ "นิฏฐา จันทร์โอชา" บุตรสาวของ พล.อ.ประยุทธ์ นำหลักฐานการโพสต์สื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง เพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวในความผิดฐานหมิ่นประมาท และกระทำผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 (พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์)
โดย "อมรภัค ศรีบุญชัย" หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาคดีหมิ่นลูกสาว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวภายหลังการให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ว่า ตนเดินทางมาให้ปากคำตามหมายเรียกของเจ้าหน้าตำรวจ ส่วนข้อมูลในโลกโซเชียลที่ได้มีการติด #ตามหาลูกประยุทธ์ นั้น ตนไม่ทราบและจำไม่ได้ว่าได้แชร์หรือโพสต์ต่อหรือไม่ เนื่องจากผ่านไปหลายวันแล้ว
ซึ่งเบื้องต้น อมรภัคได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และจากการตรวจสอบเฟซบุ๊กของอมรภัค พบว่าได้มีร่องรอยของการแชร์ข้อมูลมา แต่ไม่ชัดเจนว่าเป็นโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่ เนื่องจากโพสต์ต้นทางที่แชร์ต่อมานั้นได้มีการลบข้อมูลไปแล้ว
เมื่อถามว่า ต่อไปนี้จะแชร์ หรือโพสต์ข้อความที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทอีกหรือไม่นั้น อมรภัค ระบุว่า จะขอแชร์ต่อ แต่ให้เป็นเรื่อง ๆ ไป และจะไม่เลิกเล่นโซเชียลมีเดีย
ด้าน "ศุภกร" (ไม่เปิดเผยนามสกุล) หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาคดีดังกล่าว ได้ให้การรับสารภาพ โดยยืนยันว่า ตนทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งลักษณะการกระทำผิด คือ ตนได้ไปแสดงความคิดเห็นในคลิปข่าวของสื่อช่อง News1 ซึ่งความคิดเห็นนั้นได้มีคนกดถูกใจและแชร์โพสต์ออกไปเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนตัวได้ยอมรับผิด และกล่าวขอโทษคู่กรณี โดยตนยินดีหากคู่กรณีจะเจรจาไกล่เกลี่ย แต่หากจะมีการปรับ ยอมรับว่าไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ และอาจต้องยอมติดคุก และตนขอเตือนผู้ใช้โซเชียลมีเดียให้ระมัดระวัง และเล่นโซเชียลอย่างมีสติ อย่าแชร์ข่าวหรือข้อมูลมั่ว
ส่วนกรณีที่สังคมมองว่า การโพสต์ข้อความหมิ่นประมาทเป็นการใช้ประชาธิปไตย ละเมิดสิทธิของผู้อื่นนั้น ศุภกรกล่าวว่า ภาษาอีสานใช้คำว่า “ตีนช้างเหยียบปากนก” ซึ่งหมายถึง ผู้มีอำนาจห้ามประชาชนแสดงความคิดเห็น
ส่วน "สุภาภรณ์ โพธิ์ศรี" หนึ่งในผู้ต้องหา กล่าวว่า พวกเราถูกหมายเรียกรับทราบในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กับข้อหาหมิ่นประมาท แต่เมื่อมาเซ็นรับทราบข้อกล่าวหาก็ถูกแจ้งความเพียงหมิ่นประมาทเท่านั้น ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นนั้น ตนแค่แสดงความคิดเห็นในโพสต์เกี่ยวกับการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินของ พล.อ.ประยุทธ์ ไปยังสองลูกสาวตามที่มีกระแสข่าว ว่าจริงหรือไม่ รวมถึงบุคคลทั้งสองอยู่ที่ไหน เหตุใดไม่ยอมเปิดเผยตัวตน ส่วนตัวยืนยันว่า ไม่ได้มีเจตนาหมิ่นประมาท แต่เป็นเพียงการตั้งคำถามเท่านั้น เข้าใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นบุคคลสาธารณะ เหตุใดต้องลดตัวลงมาคุกคามประชาชนตัวเล็ก ๆ แบบพวกตน พวกตนไม่ได้ทั้งคำตอบและยังถูกหมายเรียกอีก และพวกตนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จากนี้ทนายความจะทำหนังสือชี้แจงต่อพนักงานสอบสวนตามขั้นตอนต่อไป
เมื่อถามว่า จะไปร่วมกิจกรรมทางการเมือง วันที่ 19 ก.ย. หรือไม่นั้น สุภาภรณ์ เผยว่า ตนจะร่วมขึ้นไปพูดบนเวที จากที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะไปร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับม็อบใด แต่ตอนนี้ตนขอเรียกร้องให้ผู้ที่โดนกดขี่ ข่มเหง หรือไม่ทนกับการเมืองในปัจจุบัน ออกมาใช้สิทธิ์ของตน และขอยืนยันว่า ตนเป็นฝ่ายถูกกระทำ และโดนคุกคามจากผู้ที่ไม่เห็นด้วย ตนไม่มีคนหนุนหลัง มีแค่หายเรียกแผ่นเดียวที่ทำให้ต้องออกมาพูด
เมื่อถามว่า ได้ใส่ชุดนักเรียนออกมาเรียกร้องสิทธิเยาวชน หรือไม่นั้น ตนขอยืนยันว่า เป็นชุดใส่ในงานเลี้ยงของที่ทำงานเก่า และไม่เคยถ่ายคลิปว่าตนเป็นเยาวชน แต่ด้วยบุคลิกภาพของตนเหมือนเด็กเลยถูกเข้าใจผิด และมีบางสื่อนำตนไปโจมตี และเป็นแค่เด็กต่างจังหวัดเท่านั้น
ทั้งนี้ ก่อนที่จะให้สื่อสัมภาษณ์ กลุ่มผู้ต้องหาได้ถือป้าย “พวกเราถูกคดี! พ.ร.บ.คอม #ตามหาลูกประยุทธ์” และชูสัญลักษณ์ 3 นิ้ว