ถอดแว่น! โจ นูโว กับวันนี้ที่ไม่มี โม
แม้ว่าชีวิตการงานจะรุ่งโรจน์ โดยเฉพาะเรื่องงานเพลง ที่ออกคอนเสิร์ตเมื่อไหร่ เป็นต้องมีแฟนเพลงให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก สำหรับ "โจ" จิรายุส วรรธนะสิน แต่ในเรื่องหัวใจของศิลปินชื่อดังกลับไม่รุ่งซะแล้ว เมื่อล่าสุดมีข่าวว่าโจเลิกรากับ "น้องโม" นภัสนันท์ พสวงศ์ ทายาทร้านทอง
ล่าสุด "บันเทิง คม ชัด ลึก" ได้มีโอกาสเจอกับศิลปินชื่อดังค่ายโซนี่ มิวสิค เลยขอเปิดอกแบบหมดเปลือก ทั้งเรื่องงาน และประเด็นร้อน...คือเรื่องหัวใจ ที่วันนี้ไร้สาวโมแล้ว ว่าแล้วมาฟังกันเลย...
คุยถึงความเป็นนูโวมากว่า 20 กว่าปี
ภูมิใจที่เราได้เป็นต้นแบบที่ดี แล้วมีคนชอบ ทั้งนูโว เจ ใหม่ เจริญปุระ ติ๊นา เพลงพวกเรา มันไปนั่งอยู่บัลลังก์ใจในวันหนึ่ง ซึ่งอยู่ในวัย อายุ 30 ต้นๆ ถึงปลายๆ พวกนี้คือวัยทำงาน เมื่อก่อนอินเทอร์เน็ตไม่มี ทีวีมีแค่ 4 ช่อง ไม่มีอะไร ก็ต้องฟังเพลง วันๆ ฟังยังไงก็ต้องซื้อเทปคาสเซ็ท มันก็เลยไปอยู่ในใจเขา พอ 20 ปีผ่านมา เราก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างนี้นะ ก็รู้สึกดีใจ สิ่งที่ทุกคน ที่เราทำมามันมาตอบแทนเราตลอดเวลา ไม่ว่าจะตอบแทนเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ตั้งแต่ช่วงที่กำลังอินเทรนด์ มาถึงยุคนี้ตอบแทนอีก ยังเป็นตำนานที่เดินได้ ก็รู้สึกว่าดีใจ ไม่เสียแรงที่เหนื่อย
ช่วงนี้ถือว่าได้พักผ่อน หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับคอนเสิร์ต "โจ-เจ"
จริงๆ จะมีละครทางทีวีไทย เขาจะทำละครสังคม แต่ในเชิงเอ็นเตอร์เทนเมนท์ โดยจะมีทั้งหมด 10 เรื่อง ของผมเป็นหนึ่งในเรื่องนั้น คือเรื่องของหมอสงวน ที่รักษาโรค 30 บาท เขาให้ผมเป็นหมอสงวน ก็ท้าทายดี ผมเป็นคนชอบการแสดงนะ ก็ยังอยากจะไปบอกพี่บอย(ถกลเกียรติ วีรวรรณ) เหมือนกัน คือผมอยากเล่นละครก่อนจะอายุมากกว่านี้ เล่นอีกสัก 1-2 เรื่อง
กับงานละครต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง หลังจากห่างหายละครมานาน
คงต้องเข้าไปเวิร์กช็อป พอได้มีโอกาสทำงาน เราก็ไม่เลือกนะ แต่ต้องทำให้ดีที่สุด อายุขนาดนี้แล้ว ก็ต้องดูแลให้ดี
ที่ห่างจากงานละครมานาน เพราะไม่รับงานละคร หรือมุ่งมั่นกับงานเพลง
จริงๆ ตรงนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก สำหรับวงการบันเทิงบ้านเรา มันเป็นเรื่องพวกใครพวกมันเหมือนกันนะ มันไม่ใช่คุณเก่ง คุณมีความสามารถแล้วคุณจะอยู่ได้ เราเองก็ไม่ได้เป็นคนเก่ง หรือมีความสามารถ แล้วเราไม่ได้เป็นพวกใคร ตรงนี้มันก็เป็นปัจจัยหนึ่ง บางทีมันก็ไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆ ไม่ใช่พระเอกติด 1 ใน 5 เราเป็นพวกมีความเป็นส่วนตัว ซึ่งยินดีที่จะทำงานเฉยๆ บางครั้งถ้าเราเงียบ เราอาจจะหลุดจากวงจรนั้น มันไม่ได้หมายความว่าเราปิดรับ แต่เมื่อบางเรื่องมันไม่ไหวจริงๆ เราก็ต้องปฏิเสธ เขาก็คิดว่าไอ้นี่ ไม่เล่นละครแหละ หรือค่ายแข็งๆ เขามีพรรคพวกเขาอยู่ ซึ่งถ้าเราวางตัวอีกแบบ เราจะอยู่วงการบันเทิงได้ดีกว่านี้ คือถ้าวางตัวให้ถูกกาลเทศะ หมั่นทำตัวให้เป็นข่าว หมั่นเข้าหาผู้ใหญ่ หมั่นเข้างานสังคม
เหมือนมีกำแพงในการรับงานหรือเปล่า
เราเป็นตัวของตัวเอง เราเป็นนูโว เราเกิดมาเป็นนักดนตรี นักดนตรีมันก็จะมีเวรกรรมอะไรบางอย่าง สมัยก่อนตอนผมวัยรุ่น ไม่มีกุนซือ ไม่มีผู้จัดการ ไม่มีใครคอยแนะนำ ว่าควรทำตัวแบบนี้ อย่างยุคนี้ น้องมาริโอ น้องเป้ (อารักษ์ อมรศุภศิริ) สบายมีกุนซือ มีผู้จัดการแนะนำ อยู่ได้ยาว แต่ยุคผม กับก้อง จอห์น เป็นยุคบุกเบิก เป็นพระเอกรุ่นแรกที่เล่นดนตรีมาก่อน แล้วก็มาเป็นพระเอก
เป็นเพราะความเป็นส่วนตัวสูง เข้าถึงยากด้วยหรือเปล่า
เรื่องความเป็นส่วนตัว ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่เรื่องเข้าถึงตัวยาก จริงๆ ผมไม่ยากเลย ก็อย่างที่บอกสมัยก่อนไม่มีกุนซือ ถ่ายละครก็อยากกลับบ้านแล้ว บางทีวันเกิดดาราไม่สนิทกันจริงๆ ก็ไม่ไป คือถ้ามีคนวางให้เราอยู่ในสังคมแบบนี้ มันจะเยี่ยมกว่านี้ แต่ยุคนั้นผมไม่มี ย้อนไป 15 ปีที่แล้ว การเป็นข่าวเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ผู้จัดการแย่งตัว เลิกคนโน้นคนนี้ หรือคลิปหลุด ยุคนั้นไม่มี แต่อยู่ได้เพราะเรื่องเนื้องานล้วนๆ
วางแผนอย่างไรบ้างกับวงการ
เร็วๆ นี้ก็คงออกจากวงการอย่างสงบ เราคงไม่ดิ้นรนไปจนกระทั่งมันดูฝืน ให้มันดูสง่างามที่สุด เข้ามาอย่างสง่า ไปลามาไหว้ ผู้ใหญ่ที่เรารัก คนทุกคนที่ให้โอกาสเราทำงาน ก็ยังอยู่ในใจเราตลอด ถ้าวันหนึ่งเราจะต้องออก เอาล่ะจะไปทำอย่างอื่นแหละ เก็บตังค์ได้ขนาดนี้แล้ว ก็คงรีไทร์ตัวเองเร็วหน่อย แก่ๆ ไปก็ไม่ต้องทำงาน นี่คือสิ่งที่เราแพลนว่าจะออกจากวงการอย่างสงบ ไปซื้อบ้านที่วังน้ำเขียว หรือแถวชะอำ ที่อากาศดีๆ มันเหนื่อยมาเยอะแล้ว
คนจับตามองว่าเมื่อไหร่จะสละโสดสักที
ผมเป็นคริสเตียนนะ ก็คงให้เป็นลักษณะพระเจ้าประทานก็ยินดี เราไม่ได้ไขว่คว้าโหยหา ถ้ามีคนมาเข้าใจเราแล้วดี มันก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามันดี แล้วมันมีข้อบางข้อที่มันไปไม่ได้ก็ต้องยุติลง
ล่าสุดมีข่าวว่าเลิกกับ "น้องโม" นภัสนันท์ แล้ว
ถ้าจะใช้คำว่าเลิก ผมเป็นผู้ชาย ก็ไม่น่าจะมาพูดเรื่องนี้ ก็คือไม่ค่อยเจอกันแล้ว แต่ก็โอเค ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มีอะไรก็ยังปรึกษาหารือกันได้ เขาก็เป็นคนน่ารักคนหนึ่ง แต่มันก็มีปัจจัยหลายๆ อย่าง คนเราบางทีก็รักกันนะ แต่ความรักอย่างเดียวมันไม่พอ มันอาจจะต้องมีไลฟ์สไตล์อะไรบางอย่าง ที่ต้องเข้าใจกันบ้าง ไม่ได้บอกว่าใครผิดใครถูก แต่เอาเป็นว่าถอยหลังคนละหลายๆ ก้าว แล้วมาตั้งสติกันใหม่ ถ้าวันหนึ่งมันใช่ก็ว่ากันใหม่ ถ้าอยู่แบบนี้แล้วมันสบาย มีความสุขกว่า ก็เป็นเพื่อนกันซะ ก็พูดกันดี รักนะ ก็คิดถึง เพราะ 8-9 เดือนที่ผ่านมา มันก็มีความรู้สึกดีๆ ต่อกันเยอะ แต่มันอาจจะมีจุดที่เรามองในระยะยาว ถ้ามันเป็น 8-9 ปีล่ะ มันมีอะไรบกพร่องตรงนั้นมันจะยุ่ง หากมีครอบครัว มีลูก
ถอยห่างกันมานานหรือยัง
ประมาณ 2 เดือนแล้ว
เป็นเพราะช่องว่างระหว่างวัยหรือเปล่า
ไม่เลยนะ วัยของเขากับผมก็เหมาะกันพอสมควร ห่างกัน 10 ปี ผมว่ามันจะเป็นเรื่องของความมีอัตตาของแต่ละคนมากกว่า เราเองก็มีชีวิตแบบนี้ เขาก็มีชีวิตแบบนั้น วันหนึ่งมาจูนเจอกัน แล้วปรากฏว่ามันต้องเป็นการปรับเข้ามา เพื่อมาเจอกัน แต่ถ้าการปรับเป็นการฝืนเมื่อไหร่มันยุ่ง ซึ่งคิดว่าเป็นตรงนั้นมากกว่า ถ้าผมยอมที่จะฟัง ปรับหน่อย ก็คงราบรื่น แต่ก็จะมีโจตัวน้อยๆ จะพูดในหัวว่า ไม่ใช่ตัวมึง มันก็ยุ่ง หรือตัวเขาเองถ้าต้องปรับ ก็จะมีโมตัวน้อยๆ ไม่ใช่ตัวโม มันก็ยุ่ง
ณ วันนี้ยังคุยกันอยู่บ้างไหม
ถ้าเขามีอะไรให้ช่วยก็ช่วยตลอด
เลิกกันมีปัญหาเรื่องมือที่สามหรือเปล่า
อ๋อ...ไม่มี เพราะประวัติในชีวิตผมไม่เคยมีเรื่องนี้ เราเป็นแฟนใครก็บอกกันตรงๆ ถ้าบอกว่าถอยหลังก็ถอยหลัง เราไม่มีปิดแล้ว อายุขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องปิดแล้ว
กลับมาใช้ชีวิตโสดเหงาไหม
ก็เหงา บางทีกลับบ้านไปก็ไม่รู้ทำอะไร ก็เข้าไปเซเว่น ซื้อหนังมาดู ทุกเรื่องเลย แค่นี้ก็มีความสุขแล้วนะ กับการที่ใช้ชีวิตง่ายๆ ดูหนังเสร็จ ง่วงก็นอน ตื่นมาก็ไปเล่นกีฬา ไปทำงาน แต่ชีวิตมันก็ขาดหายไปบางอย่าง
ที่ผ่านมาแสดงว่าทิ้งความเจ้าชู้แล้ว
คนอาจจะมองว่าเจ้าชู้ แต่จริงๆ ผมไม่ได้เป็นคนเจ้าชู้เลย ผมเป็นคนคุยกับคนง่าย แต่แฟนผมที่ผ่านมามีชื่อเสียงหมด คนก็นึกว่าผมเจ้าชู้ คุณใหม่ (ใหม่ เจริญปุระ) ก็คบกันมา แล้วก็มาคุณลูกเกด (เมทนี) คุณมาร์ติน คุณแอนจี้ เฮสติ้งส์ แล้วก็มีคนโน้นคนนี้ แต่ผมไม่พูดชื่อ อันนี้ที่เราพูดชื่อได้ เพราะเป็นเพื่อนซี้กัน
ณ ตอนนี้ปิดตัวเองเลยไหม
ผมก็ไม่ปิดนะ ถ้าเจอใครที่เราถูกใจ น่าจะคุยด้วย น่าจะศึกษากันไปก็คงคุย แต่จะไม่หุนหันพลันแล่น เดี๋ยวนี้ต้องดูกันนานๆ
เคลียร์...ชัดทุกคำตอบ