แม่ "แทค ภรัณยู" ขอเปิดใจบ้าง เผยป่วยโรคสมองเสื่อม กลัวจะจำลูกไม่ได้อีก
แม่ "แทค ภรัณยู" ยืนยันไม่ได้ทอดทิ้งหลังจากแยกทางกับสามี รวมทั้งผลักดันเข้าวงการ เผยไม่ได้เจอลูกชายมานานร่วมสิบปีแล้ว จนล้มป่วยหนักด้วยโรคสมองเสื่อม หวังเจอหน้าสักครั้งก่อนที่จะไม่สามารถจำลูกชายได้
ความคืบหน้ากรณีประเด็นดรามาที่เกิดขึ้นกับนักแสดงหนุ่ม แทค ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม ที่ถูกตำหนิว่าไม่ดูแลแม่เป็นระยะๆ จนผู้เป็นพ่อ สมชาย โรจนวุฒิธรรม ต้องเป็นคนออกโรงมาตอบโต้ชี้ประเด็นเกี่ยวกับแม่ของแทคด้วยตัวเอง โดยชี้แจงและบอกเล่าเรื่องราวในอดีตว่าหลังเลิกรากับแม่แล้ว สองพ่อลูกต้องดิ้นรนต่อสู้ชีวิตด้วยกันเพียงลำพังเกือบ 30 ปี ขณะที่ผู้เป็นแม่แทบไม่ได้มาเหลียวแลเลยนั้น
ล่าสุด วันนี้ (23 ก.ย.) แม่หม่วย นางชนิกา อภิชัย อายุ 58 ปี แม่ของแทค ภรัณยู เปิดเผยชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่บ้านพักส่วนตัวในตำบลป่าแดด อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ว่า ตัวเองล้มป่วยหนักด้วยโรคสมองเสื่อม ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลลานนาและโรงพยาบาลสวนปรุง โดยเวลานี้อาการดีขึ้นเล็กน้อย แพทย์อนุญาตให้มาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน แต่ต้องรักษาตัวและกินยาต่อเนื่อง พร้อมปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ มีค่าใช้จ่ายเฉพาะค่ากินอยู่และค่ายาเดือนละประมาณ 40,000 บาท และมีค่าผ่อนรถยนต์อีกเดือนละประมาณ 12,000 บาท ซึ่งก่อนหน้านี้ยังพอสามารถหาเงินเลี้ยงดูตัวเองได้จากการทำอาชีพเป็นหมอดู แต่ช่วงหลังที่ล้มป่วยหนักและโควิด-19 ระบาด ทำให้ไม่มีรายได้เลย
สำหรับประเด็นที่เกิดขึ้นนั้น ยืนยันว่าไม่มีเจตนาเรียกร้องขอเงินหรือทำให้แทคได้รับความเสียหายและเสื่อมเสียชื่อเสียง เพียงแต่ตอนที่แม่ล้มป่วยหนัก ทางลูกศิษย์ที่ดูแลแม่อยู่ได้แจ้งให้แทคทราบ เพราะการรักษาต้องได้รับการยินยอมจากญาติสายตรง ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีการตีความเจตนาคลาดเคลื่อนไปหรือไม่อย่างไร
โดยจากนั้นแทคได้โอนเงินมาให้ครั้งแรก 20,000 บาท ซึ่งเริ่มเป็นประเด็น และจากนั้นได้โอนมาอีกครั้ง 20,000 บาท รวมทั้งสิ้น 40,000 บาท ทั้งนี้ เงินจำนวนดังกล่าวนี้ เป็นเงินที่ตัวเองเพิ่งเคยได้รับจากแทคตั้งแต่ที่เข้าวงการบันเทิง
ซึ่งตลอดช่วงที่ผ่านมาตัวเองไม่เคยได้เงินจากแทคเลย แม้จะมีส่วนช่วยในการสนับสนุนผลักดันแทคเข้าวงการบันเทิง โดยแม่มีแต่เป็นฝ่ายให้ เช่น ช่วยซื้อรถยนต์ หรือเมื่อปี 2556 ก็เคยโอนเงินให้ 500,000 บาท เป็นต้น แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดลูกชายจึงไม่เคยแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเลย ซึ่งถึงวันนี้ตัวเองไม่ได้เจอหน้าลูกชายมาเกือบสิบปีแล้ว แม้กระทั่งแต่งงานก็ไม่ทราบและมีลูกก็ไม่เคยได้เจอตัว รวมทั้งโทรศัพท์ไปหาก็ไม่เคยรับสาย
ส่วนเรื่องที่มีการกล่าวหาว่าแม่ไม่เหลียวแลเลี้ยงดูแทคตอนเป็นเด็กนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยหลังจากที่เลิกรากับอดีตสามีแล้ว ตัวเองได้แยกออกไปอยู่เองทำอาชีพหมอดูมีรายได้เลี้ยงดูตัวเองได้ตามสภาพ แต่ไม่ได้สุขสบายอย่างที่มีการกล่าวหา
พร้อมทั้งยังคงแวะเวียนไปดูแลลูกชาย, ไปรับส่งที่โรงเรียน, พาไปซื้อของและพามาเลี้ยงด้วย รวมทั้งช่วยออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ด้วย ทั้งค่าเทอม ค่าทำฟัน เป็นต้น แต่รับว่าอาจจะไม่ได้ใกล้ชิดอย่างที่ต้องการเพราะลูกชายอยู่กับพ่อตามข้อตกลง
จนกระทั่งลูกชายไปอยู่กรุงเทพฯ และเข้าวงการบันเทิง ก็ยังติดต่อกันตลอด จนกระทั่งระยะหลังที่ห่างหายไป แม้กระทั่งวันแม่ก็ไม่เคยมาหา แต่เข้าใจว่าลูกชายอาจจะไม่มีเวลาจริงๆ และไม่เคยโกรธ แม้จะรู้สึกน้อยใจบ้าง เพราะเคยมีครั้งหนึ่งที่ลูกชายมาทำบุญที่วัดใกล้บ้านแม่ โดยไม่เคยบอกเลย แต่แม่มารู้เพราะขับรถตามหลังขบวนแห่ที่มีคนเดินเรี่ยไรให้ทำบุญแล้วบอกว่าเป็นขบวนแห่ทำบุญของแทค
นอกจากนี้ แม่หม่วยบอกถึงการหย่าร้างกับอดีตสามีว่า หย่ากันตอนแทค อายุ 8 ปี โดยเหตุผลมาจากไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ เนื่องจากมักจะถูกสามีที่มาจากครอบครัวคนจีนต่อว่าตำหนิด้วยถ้อยคำรุนแรงอยู่เสมอ ทำให้ไม่มีความสุขในชีวิตครอบครัว จึงหย่ากันและให้พ่อเป็นฝ่ายเลี้ยงดูตามที่ต้องการ แต่มีเงื่อนไขว่าพ่อต้องทำหมัน
ซึ่งเมื่อแยกทางกันแล้ว ตัวเองได้ออกมาเช่าหอพักอยู่และได้ไปเรียนดูดวง พร้อมทำเป็นอาชีพ แต่ไม่ได้ไปมีชีวิตหรูหราสุขสบายอย่างที่เข้าใจกันเลย และไม่ได้ไปมีครอบครัวใหม่ โดยมีลูกเพียงคนเดียวคือแทค และปัจจุบันก็ใช้ชีวิตเพียงคนเดียวที่บ้านพัก โดยมีลูกศิษย์และผู้ช่วยพยาบาลดูแลเท่านั้น
ทั้งนี้ อยากฝากบอกลูกชายเพียงว่า ตอนนี้แม่ไม่สบาย อยากให้มาเยี่ยมเยียนและดูแลกันบ้างเท่านั้น ก่อนที่โรคที่แม่ป่วยอยู่จะทำให้ความจำเลอะเลือนหรือตายจากไป พร้อมย้ำไม่ได้มีเจตนาให้ร้ายลูก เพียงแค่อยากบอกลูกเท่านั้น