เรื่องของกะทิ

เรื่องของกะทิ

เรื่องของกะทิ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โดย แมวเหมียว

กะทิ เป็นลูกแมวกำพร้า สีขะมุกขะมอม ตาสีฟ้า ขนขึ้นไม่สม่ำเสมอ ตัวไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือของคนตัวเล็ก น้ำหนักตัวแค่สามขีด

เราเก็บกะทิได้ในซอยแถวบ้าน ตอนนั้นมันนั่งอยู่กลางซอย ตรงเส้นแบ่งของพื้นคอนกรีต สีก็ไม่ต่างไปจากพื้นถนน โชคยังดีที่มันไม่ถูกรถทับ หรือได้รับอันตรายอื่นๆ

ไม่มีใครรู้ว่ากะทิมาจากไหน รู้แต่ว่ากะทิกับพี่น้องของมันอีกสองตัวถูกเอามาทิ้งไว้ที่ริมถนนในซอยเมื่อ คืนวันอาทิตย์ เรารู้จักกับกะทิเพราะวันนั้นกะทิออกมานั่งเล่นอยู่กลางซอย อาจเป็นเพราะเดินสำรวจในที่ที่ไม่คุ้นเคย ดูรถ ดูผู้คน หรืออาจเป็นเพราะสัญชาติญาณในการเอาตัวรอด ที่ต้องออกมาหาอาหารประทังชีวิต

กะทิร้องเสียงดังฟังชัด ทั้งที่เป็นลูกแมวตัวเล็กนิดเดียว โตขึ้นน่าจะเป็นแมวที่กล้าหาญเข้มแข็งไม่กลัวใคร แถมยังขี้อ้อนและขี้เล่น เวลาเรากลับบ้าน กะทิจะมาวิ่งเล่น วิ่งตาม ปีนป่ายตามตัวอย่างมีความสุข กะทิชอบที่สุดเวลาที่พี่พี่เอากะทิใส่ไว้ในมือแล้วเขี่ยหัวกะทิ ตาสีฟ้าใสแจ๋วเหมือนน้ำในสระว่ายน้ำของกะทิจะมองมาอย่างมีความสุข

วันแรกที่กะทิเข้ามาเป็นสมาชิกของบ้าน เราต้องเอาผ้าชุบน้ำ เช็ดตัวกะทิ เพราะมอมแมมมากๆ น่าจะเป็นเพราะไม่มีแม่คอยเลียเนื้อเลียตัว ทำความสะอาดให้ นั่งก็ไม่ค่อยได้ สังเกตดูที่ก้นมีปุ่มยื่นออกมา และมีอาการท้องเสีย หมอบอกว่าให้คอยสังเกตอาการ

กะทิพยายามผูกมิตรกับสมาชิกแมวรุ่นใหญ่ โอเลี้ยง กับ ลายจ่อย แต่เจ้าสองตัวนี้ยังสงวนทีท่า บางครั้งโอเลี้ยงก็ขู่เอาบ้าง คงนึกสงสัยไอ้เปี๊ยกนี้เป็นใคร ส่วนลายจ่อยก็เข้ามาด้อมด้อมมอง แต่เนื่องจากเธอเป็นแมวแรง ชอบกัดแรงแรง เราเลยต้องคอยระวัง เพราะกะทิตัวเล็กและนุ่มนิ่มกว่าฟันของเจ้าจ่อย น่าจะให้คุ้นเคยกว่านี้สักนิด

เราเลยจัดที่ให้กะทิอยู่ต่างหาก ในห้องน้ำที่ไม่ได้ใช้สำหรับอาบน้ำ ห้องนี้มีหลังคาใสที่แสงแดดส่องเข้ามา น่าจะแห้งอุ่นสบาย และปลอดภัยพอสำหรับลูกแมวตัวเล็กๆ

กะทิมีชามข้าวพลาสติกสีส้มใสเป็นของตัวเอง ดูอินเทรนด์อย่างมาก เวลากินอาหาร กะทิต้องเขย่งตัวด้วยการใช้ขาหน้าปีนไปบนขอบชาม หน้าเล็กๆมุดลงไปในชามข้าว พอโผล่ขึ้นมาแล้วก็จะอดหัวเราะไม่ได้ เพราะจมูกหน้าตาเลอะอาหารเต็มไปหมด


วันพุธเช้า หลังจากที่ตื่นนอน เราเดินไปดูกะทิเป็นอย่างแรกว่าหลับสบายดีไหม มองหาไปรอบรอบห้อง ได้ยินเสียงร้องดัง แต่มองไม่เห็นกะทิ คิดว่าคงเดินซนไปไหน


ปรากฏว่า... กะทินอนอยู่บนพรมเช็ดเท้าที่สีเหมือนกับขนของกะทิ พอลูบตัวกะทิก็ร้องเสียงดัง แต่ก็ไม่ยืนขึ้น ขาไม่มีแรง ซึ่งผิดจากทุกครั้งที่เห็นหน้าเราเมื่อไหร่ จะดีอกดีใจอย่างเห็นได้ชัด รอบตัวมีของเสียที่กะทิขับถ่ายไว้เต็มไปหมด


เราค่อยๆเช็ดตัวกะทิ ยังใจชื้นอยู่บ้างที่เห็นเขาร้อง และหายใจแรง คิดว่าน่าจะท้องเสียจนหมดแรง เตรียมตัวพากะทิไปหาหมอ แต่กะทิดูแย่ลง ตัวเย็น เราเอาผ้าขนหนูกับเปิดโคมไฟให้ความอบอุ่น หายใจเป็นระยะ เราแตะตัวแตะหัว คิดถึงเรื่องกรีนไมล์ที่มีตัวละครถ่ายทอดพลังชีวิต


ตอนอยู่ในรถ กะทิเงียบเสียงไป แต่รู้สึกว่าถ้าไปหาหมอน่าจะดีขึ้น แต่เมื่อไปถึง คำตอบที่ได้รับคือ กะทิจากเราไปแล้ว


เพื่อนผู้รักแมวบอกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมถ้าไม่มีแม่ จะรอดได้ยาก


ถ้ากะทิมีแม่ กะทิคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้ แม่ก็จะคอย ให้นม ให้อาหาร ไม่ให้กะทิหิว คอยเลียขนทำความสะอาดให้กะทิ และยังปกป้องกะทิจากแมวอันธพาลที่คอยมาหาเรื่อง คาบกะทิหนีจากที่ที่ดูเหมือนจะอันตราย และถ้ากะทิป่วย แม่ก็คงมีที่อุ่นๆ ให้กะทิไว้ซุกนอน เหมือนกับคนไม่มีผิด


... โกรธและเศร้า ที่เราอาจดูแลเขาไม่ดีพอ ทำไมเราดูแลเขาไม่รอด ถ้าเราทำอย่างนี้... ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้... ถ้าคนใจร้ายไม่แยกกะทิจากแม่...


กะทิเองก็คงไม่ได้ต้องการมีชีวิตอย่างนี้ เกิดมาก็ถูกแยกจากแม่ เขาเลือกเกิดไม่ได้


ไม่น่าเชื่อว่าการจากไปของลูกแมวตัวเล็กๆ ที่อยู่ด้วยกันเพียงสามวันจะสร้างความเศร้าได้ขนาดนี้


ชื่อกะทิที่ตั้งให้ นอกจากจะเป็นสีของกะทิแล้ว ยังเป็นชื่อหนังสือ "ความสุขของกะทิ" ที่เราคิดว่าต่อไปนี้กะทิน่าจะมีความสุขกับครอบครัวที่มีความรักให้ และจะดูแลให้กะทิมีชีวิตที่ไม่ต้องอดอยากหรือหวาดกลัวอีกต่อไป


เป็นเวลาสามวันแห่งความสุขด้วยกัน ทั้งของตัวกะทิเองและของครอบครัวเล็กๆ ที่กะทินำความสุขมาให้

 

 

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ เรื่องของกะทิ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook