ตำรวจเรียกวัยรุ่นสอบปากคำ เหตุคลิปรับน้องพิสดาร เผาขนในที่ลับ-น้ำตาเทียนหยดหลัง
ชาวบ้านบางแก้ว ยืนยัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการรับน้องพิสดาร ด้านตำรวจเรียกสอบกลุ่มวัยรุ่น เผยเป็นความสมัครใจในการรับน้อง ไม่ติดใจเอาความ
รับน้องโหด มาอีกแล้ว! คราวนี้ถึงขั้นใช้สีสเปรย์ฉีดพ่นใส่ไฟแช็กจนกลายเป็นเปลวไฟ เผาขนเพชรและอวัยวะเพศของรุ่นน้อง ตอกไข่ไก่ดิบใส่ปากและให้บ้วนใส่ปากเพื่อน วิดพื้นกลางแดด น้ำตาเทียนหยดใส่หลัง ใช้สีสเปรย์พ่นใส่หลัง
ซึ่งการรับน้องนอกสถาบันนี้เกิดขึ้นภายในซอยหนามแดง-บางพลี ซอย 14 ต.บางแก้ว จ.สมุทรปราการ โดยเพจเฟซบุ๊ก ข่าวสารเมืองปราการ v 2 ได้โพสต์ภาพกลุ่มวัยรุ่นที่มีรุ่นพี่ใส่เสื้อของสถาบันอาชีวะแห่งหนึ่ง ให้รุ่นน้อง 4 คน ถอดเสื้อทำกิจกรรมโหด โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ครั้งแรกเมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ครั้งนี้ชาวบ้านจึงอัดคลิปบันทึกเหตุการณ์เอาไว้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบ
วันนี้ (27 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังสถานที่ที่รุ่นพี่พารุ่นน้องไปทำกิจกรรมรับน้องในบริเวณดังกล่าว พบที่เกิดเหตุเป็นพงหญ้าท้ายซอยอยู่ติดกับคลองสำโรง นอกจากนี้ ยังพบร่องรอยของคราบน้ำตาเทียนและเปลือกไข่ไก่ตกอยู่พร้อมด้วยกระป๋องสีสเปรย์
จากการสอบถามชาวบ้านละแวกใกล้เคียง เล่าว่า เมื่อวาน (26 ก.ย.) เวลาประมาณ 10.00 น. เห็นกลุ่มนักเรียนประมาณ 5-6 คน ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามา แต่ไม่ได้สนใจอะไร ตนนอนเล่นอยู่ที่ศาลาริมน้ำใกล้กับที่เกิดเหตุและไม่ได้ยินเสียงอะไร โดยก่อนหน้านี้ ตนก็เคยเห็นเด็กวัยรุ่นเข้ามาทำในลักษณะเดียวกัน ตอนที่เห็นก็ไม่กล้าไปยุ่ง แต่เท่าที่ดูเขาก็ไม่ได้มีการบังคับ เขามากันเอง เลี้ยงรุ่นหรืออะไรก็ไม่รู้ ช่วงที่เขาทำกิจกรรม ตนนอนหงายอยู่เลยไม่เห็นพฤติกรรมได้ยินแต่เสียง ส่วนเด็กที่เข้ามาก่อเหตุ ยืนยันว่าไม่ใช่เด็กแถวนี้ แต่เชื่อว่าน่าจะรู้จักกัน ก่อนที่กลุ่มวัยรุ่นจะพากันออกไปประมาณ 12.00 น.
ล่าสุด อีจัน ได้ติดต่อไปยัง พ.ต.อ.ประสาทพร ศรีสุขโข ผกก.สภ.บางแก้ว เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้ากรณีนี้ โดย พ.ต.อ.ประสาทพร เปิดเผยว่า มีการเรียกตัววัยรุ่นกลุ่มนี้มาสอบปากคำตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว โดยทั้ง 2 ฝ่ายไม่ติดใจเอาความกัน เป็นความสมัครใจในการรับน้องของทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง ด้านผู้ปกครองของเด็กก็ไม่ได้ร้องทุกข์เอาความ ส่วนบาดแผลที่เกิดจากการรับน้องก็ไม่สาหัส มีเพียงรอยแดงเล็กๆ บนแผ่นหลังจากรอยน้ำตาเทียนเท่านั้น ตอนนี้เจ้าหน้าที่เก็บข้อมูลไว้ทั้งหมดแล้ว ต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับทางสถาบันการศึกษาว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป