ดีเบตรอบแรกไฟลุก! ทรัมป์-ไบเดน เปิดศึกน้ำลายซัดกันนัว พิธีกรต้องเตือนอย่าใช้อารมณ์
การแสดงวิสัยทัศน์ หรือการดีเบตรอบแรกระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน และนายโจ ไบเดน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ปิดฉากลงแล้วในช่วงเช้าของวันนี้ (30 ก.ย.) ตามเวลาประเทศไทย โดยทั้งสองฝ่ายปะทะคารมกันอย่างดุเดือดเลยทีเดียว
โดยบรรยากาศการอภิปรายเป็นไปอย่างเผ็ดร้อน เนื่องจากทั้งสองฝ่ายใช้ถ้อยคำที่รุนแรง และพูดแทรกกันไปมาเกือบตลอดเวลา จนทำให้นายคริส วอลเลส ผู้ดำเนินรายการ ต้องเตือนให้ทั้งสองคนอยู่ในความสงบและไม่ใช้อารมณ์มากเกินไป เนื่องจากเป็นการถ่ายทอดสดซึ่งมีประชาชนทั่วโลกกำลังรับชมอยู่
นอกจากนี้ การแสดงความเห็นใดๆ บนเวทีดีเบต อาจมีผลทำให้คะแนนของผู้สมัครเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ในชั่วข้ามคืน
เปิดฉากด้วยหัวข้อ “การเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกา”
นายวอลเลสเปิดฉากการดีเบตด้วยหัวข้อแรกคือ ศาลฎีกา และกรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอชื่อ เอมี โคนีย์ แบร์เรตต์ เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาสหรัฐฯ แทนนางรูธ เบเดอร์ กินสเบิร์ก ซึ่งเสียชีวิตเมื่อไม่นานมานี้
ในประเด็นดังกล่าว ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า “เราชนะการเลือกตั้งในปี 2559 ดังนั้นเราจึงมีสิทธิ์ที่จะเลือกแบร์เรตต์ให้ดำรงตำแหน่งนี้”
ขณะที่ นายไบเดนย้ำว่า เขาเชื่อว่าผู้ที่ชนะการเลือกตั้งในปีนี้ต่างหากที่ควรจะมีสิทธิเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกาคนใหม่ และที่ถูกต้องคือเราควรรอจนกว่าจะรู้ผลการเลือกตั้งปีนี้ นอกจากนี้ นายไบเดนยังกล่าวว่า การเลือกผู้พิพากษาศาลฎีกาก่อนที่จะทราบผลการเลือกตั้งปีนี้ จะมีผลกระทบอย่างมากต่อระบบประกันสุขภาพของสหรัฐอเมริกาในอนาคต
ทางด้าน ประธานาธิบดีทรัมป์โต้ตอบนายไบเดนในทันทีว่า เขามีสิทธิอันชอบธรรมในการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกาคนใหม่
ว่าด้วยนโยบายระบบประกันสุขภาพ
ต่อมานายวอลเลสตั้งคำถามเกี่ยวกับระบบประกันสุขภาพ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถตอบได้ว่า เขาได้ดำเนินการตามแผนประกันสุขภาพอย่างครอบคลุมหรือไม่ แต่นายไบเดนก็เลี่ยงที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาสนับสนุนแผนประกันสุขภาพแบบครบวงจร
ในประเด็นระบบสุขภาพนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวหานายไบเดนว่าต้องการที่จะเปลี่ยน กฎหมายประกันสุขภาพ “Affordable Care Act” หรือ “โอบามาแคร์” ให้กลายเป็นระบบสังคมนิยม และทำเพื่อจะตอบแทนบุญคุณของบรรดานักการเมืองฝ่ายซ้ายที่สนับสนุนเขา
ขณะที่ นายไบเดนตอบโต้ว่า “ความจริงก็คือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขากำลังพูดอยู่ตอนนี้คือ การโกหก ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะฟังคำโกหกจากเขา ทุกคนก็รู้ดีว่า เขาโกหก”
เมื่อผู้ดำเนินรายการถามประธานาธิบดีทรัมป์ว่า เพราะเหตุใดเขาจึงไม่ได้จัดตั้งระบบประกันสุขภาพขึ้นมาแทนที่ Affordable Care Act ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้ แต่กลับไปพูดถึงการที่เขาลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อลดราคายาตามใบสั่งแพทย์ให้กับชาวอเมริกัน รวมถึงคำสั่งที่จะกำหนดให้ Medicare ซึ่งเป็นโครงการรับประกันสุขภาพของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ จัดซื้อยาในราคาเดียวกับที่ประเทศอื่นๆ จ่าย ซึ่งคำสั่งนี้อาจจะไม่มีการบังคับใช้ หากการเจรจากับบริษัทยาประสบผลสำเร็จ
ถามถึงเรื่อง “ภาษี”
จากนั้นผู้ดำเนินรายการถามถึงกรณีที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จ่ายภาษีเพียง 750 ดอลลาร์ในช่วงปี 2559-2560 ซึ่งกรณีนี้ ผู้นำเมืองลุงแซมยืนยันว่า เขาจ่ายภาษีเป็นเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า ในฐานะที่เขาเป็นนักธุรกิจด้วยนั้น การหาทางจ่ายภาษีให้น้อยลงก็ถือเป็นสิทธิที่เขาจะทำได้
ทางด้าน นายไบเดนกล่าวหาประธานาธิบดีทรัมป์ว่าเอาเปรียบด้วยการใช้กฎเกณฑ์ด้านภาษี (tax code) ซึ่งทำให้สามารถจ่ายภาษีน้อยกว่าบรรดาครูอาจารย์ในโรงเรียน ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ตอบโต้ด้วยการถามนายไบเดนว่า “แล้วทำไมคุณถึงไม่ทำอะไรกับกฎเกณฑ์ด้านภาษีล่ะ เมื่อตอนที่คุณเป็นวุฒิสมาชิกนานถึง 25 ปี” ซึ่งทำให้นายไบเดนไม่พอใจอย่างมาก และพูดว่า “คุณเป็นประธานาธิบดีที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่อเมริกาเคยมีมา”
การรับมือ “โควิด-19”
ต่อมาผู้ดำเนินรายการได้ขอให้ตัวแทนจากทั้งสองพรรคแสดงความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า ประชาชนต้องการให้ธุรกิจของพวกเขากลับมาเปิดทำการอีกครั้ง พร้อมกับอ้างว่า เขาเป็นตัวตั้งตัวตีในการผลักดันให้สหรัฐฯ กลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง ขณะที่นายไบเดนโต้กลับทันทีว่า “ประชาชนต้องการความปลอดภัยต่างหาก”
จากนั้นผู้ดำเนินรายการถามว่า การที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยกล่าวกับสื่อมวลชนไว้ว่าเขาไม่ฟังคำแนะนำของนักวิทยาศาสตร์นั้น ทำให้นายไบเดนมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือไม่ ซึ่งในขณะที่นายไบเดนกำลังจะตอบคำถามนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ก็พูดแทรกขึ้นมาว่า ตนได้พูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ด้านการป้องกันโรค และจะมีวัคซีนออกมาในเร็วๆ นี้
ซึ่งในจังหวะนี้ นายไบเดนได้หันไปมองกล้องโทรทัศน์และพูดว่า “พวกคุณเชื่อที่เขากำลังพูดไหม ทั้งหมดที่เขากำลังพูดคือคำโกหกทั้งสิ้น และทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ขณะนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น และเขาไม่รู้ว่าอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น มันร้ายแรงมากแค่ไหน”
“ประชาชนล้มตายจำนวนมาก และจะต้องให้คนล้มตายลงอีกมากเท่าไหร่เขาถึงจะฉลาดขึ้นและดำเนินการให้รวดเร็วขึ้น” นายไบเดนกล่าว ซึ่งทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์โกรธอย่างเห็นได้ชัด และพูดว่า “นี่คุณกล้าใช้คำว่า ‘ฉลาด’ เลยเหรอ คุณจบการศึกษามาด้วยคะแนนต่ำสุดของชั้นเรียน ดังนั้น อย่าใช้คำว่าฉลาดกับผม เพราะคุณไม่ใช่คนฉลาดเลย โจ”
แสดงความเห็นเกี่ยวกับเชื้อชาติ
กระทั่งเมื่อผู้ดำเนินรายการได้ขอให้ตัวแทนจากทั้งสองพรรคแสดงความเห็นเกี่ยวกับเชื้อชาติ และความรุนแรงในเมืองต่างๆ ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในประเด็นนี้ นายไบเดนกล่าวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เป็นพวกเหยียดเชื้อชาติที่ต้องการเห็นการแบ่งแยกกันภายในชาติ มากกว่าการเป็นหนึ่งเดียวกัน
“เขาแค่ต้องการให้คนในชาติแตกแยกกัน แทนที่จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือประธานาธิบดีที่ใช้เครื่องมือทุกอย่างเพื่อสร้างความเกลียดชัง และความแตกแยกเรื่องเชื้อชาติ” นายไบเดนกล่าว
ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ตอบโต้นายไบเดนด้วยการอ้างถึงกฎหมายอาชญากรรมปี 2537 และจากนั้นได้เปลี่ยนประเด็นไปพูดเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย
“คุณไม่มีสิทธิ์พูดคำว่า ‘การบังคับใช้กฎหมาย’ เพราะหากคุณพูดคำนี้ คุณจะสูญเสียคะแนนจากกลุ่มผู้สนับสนุนฝ่ายซ้ายหัวรุนแรง” ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าว
จากนั้นผู้ดำเนินรายการถามประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับการที่คณะบริหารของเขาตัดสินใจยุติโครงการฝึกอบรมเพื่อลดปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ และแก้ปัญหาเกี่ยวกับการที่คนผิวขาวได้สิทธิพิเศษ ซึ่งในประเด็นนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า “เราใช้จ่ายเงินจำนวนหลายแสนดอลลาร์เพื่อสอนในเรื่องที่ไร้สาระ นั่นไม่ใช่ความคิดที่ดี” จากนั้นนายไบเดนก็พูดแทรกขึ้นมาทันทีว่า “ก็เขาเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติ”
เลือกตั้งทางไปรษณีย์
เมื่อผู้ดำเนินรายการขอให้ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความเห็นเกี่ยวกับการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวย้ำว่า การลงคะแนนเสียงด้วยวิธีดังกล่าวจะนำไปสู่การฉ้อโกงเป็นวงกว้าง และปฏิเสธที่จะให้คำมั่นสัญญาว่าจะยอมรับผลการเลือกตั้ง
ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า เขาไม่อาจยอมรับผลการเลือกตั้งที่มาจากวิธีการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้รับเอกสารดังกล่าวและทำการนับคะแนนหลังวันเลือกตั้ง
“นี่จะเป็นการทุจริตครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุ และยังอ้างว่า การลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์อาจทำให้ผลการเลือกตั้งออกมาล่าช้าเป็นเวลาหลายเดือน
ทางด้าน นายไบเดนกล่าวว่า “ทรัมป์อ้างทุกอย่างเพียงเพื่อจะไม่ให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการลงคะแนนเสียง เขาพยายามทำให้ประชาชนกลัวด้วยการป้อนความคิดว่า การลงคะแนนทางไปรษณีย์ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย”
ในขณะประธานาธิบดีทรัมป์ปฏิเสธที่จะให้คำมั่นว่าจะยอมรับผลการเลือกตั้งนั้น นายไบเดนได้ใช้โอกาสนี้พูดขึ้นว่า “หากผมชนะ ผมจะยอมรับ และหากผมแพ้ ผมก็จะยอมรับ” นอกจากนี้ นายไบเดนยังสนับสนุนให้ประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ หรือการหย่อนบัตรที่คูหาเลือกตั้งก็ตาม
นอกจากนี้ นายไบเดนยังตอบโต้กรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์กังวลเกี่ยวกับการลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ว่า “เขาแค่กลัวเรื่องผลการนับคะแนน”
ในช่วงท้ายของการดีเบต ผู้ดำเนินรายการถามตัวแทนของทั้งสองพรรคว่า จะให้คำมั่นสัญญาได้หรือไม่ว่าจะทำให้บรรดาผู้สนับสนุนของตนเองอยู่ในความสงบ และให้คำมั่นสัญญาได้หรือไม่ว่าจะไม่ประกาศชัยชนะก่อนที่การนับคะแนนเลือกตั้งจะเสร็จสิ้น ซึ่งในเรื่องนี้ นายไบเดนกล่าวว่า เขาให้สัญญาว่าจะทำเช่นนั้น แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ปฏิเสธที่จะให้คำมั่นสัญญา
“ผมทำได้แค่การเรียกร้องให้กลุ่มผู้สนับสนุนของผมไปที่คูหาเลือกตั้ง และเฝ้าระวังการนับคะแนน” ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าว พร้อมทั้งยังย้ำอีกว่า การลงคะแนนทางไปรษณีย์ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง
ทั้งนี้ การดีเบตรอบแรกจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเคส เวสเทิร์น รีเสิร์ฟ เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐสมรภูมิ หรือ “Battle Ground States” ที่พรรครีพับลิกันและเดโมแครตต่อสู้กันอย่างสูสีที่สุด
หลังจบการดีเบตรอบแรกในวันนี้แล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์และนายไบเดนจะพบกันอีกในการดีเบตรอบที่ 2 ในวันที่ 15 ต.ค. จากนั้นในวันที่ 22 ต.ค. ทั้งคู่จะเผชิญหน้ากันในศึกดีเบตรอบ 3 ซึ่งเป็นรอบสุดท้าย เพื่อให้ชาวอเมริกันได้ตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนไปหย่อนบัตรลงหีบเลือกตั้งในวันที่ 3 พ.ย.นี้
อัลบั้มภาพ 4 ภาพ