หมอยง เผยหลังใช้ยา 2 ชนิดรักษาทรัมป์ ถ้าผ่านวันที่ 5 แล้วไม่มีปอดบวม พอจะเบาใจได้

หมอยง เผยหลังใช้ยา 2 ชนิดรักษาทรัมป์ ถ้าผ่านวันที่ 5 แล้วไม่มีปอดบวม พอจะเบาใจได้

หมอยง เผยหลังใช้ยา 2 ชนิดรักษาทรัมป์ ถ้าผ่านวันที่ 5 แล้วไม่มีปอดบวม พอจะเบาใจได้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อาจารย์หมอยง ชี้การใช้ยา Remdesivir และ Antibody Cocktail รักษาประธานาธิบดีทรัมป์จากการป่วยติดเชื้อโควิด-19 นั้น ถ้าผ่านพ้นวันที่ 5 หลังมีอาการ โดยที่ไม่มีอาการปอดบวมหรือต้องการออกซิเจน ก็น่าจะเบาใจไปได้ระดับหนึ่ง

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan โดยระบุเกี่ยวกับรายละเอียดยาที่ใช้รักษาอาการป่วยจากการติดเชื้อโควิด-19 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ว่า

"ทั่วโลกให้ความสนใจกับการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ติดเชื้อโควิค-19  และสนใจการรักษาของประธานาธิบดี โดยทั่วไปข้อมูลรายละเอียดการรักษา ถือเป็นความลับของคนไข้ จากการรายงานของแพทย์ผู้ให้การรักษา และที่เผยแพร่ออกมาในวารสาร Science  โดย Jon Cohen ในวันที่ 2 ต.ค. 2563  มีข้อมูลที่น่าสนใจคือ ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้รับการรักษาด้วยยา Remdesivir และ Antibody Cocktail

- ยา Remdesivir เป็นยาที่พัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท Gilead Sciences เพื่อมุ่งหวังรักษาไวรัสตับอักเสบซี ต่อมามีการนำมาใช้รักษาอีโบล่า โดยยาขัดขวางการสร้าง RNA ของไวรัส ที่มีฤทธิ์ต่อไวรัสหลายชนิด จึงมีการนำมาใช้ในการรักษาโรคโควิด-19 เริ่มจากการศึกษาในประเทศจีน ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ผลที่ได้ไม่แตกต่างกับยาหลอก และการศึกษาได้หยุดก่อนที่จะสิ้นสุดเนื่องจากไม่มีจำนวนผู้ป่วยมากเพียงพอ ต่อมามีการศึกษาในประเทศสหรัฐฯ พบว่ายาสามารถลดปริมาณไวรัสลงได้และมีผลการรักษาปานกลาง FDA สหรัฐฯอนุญาตให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน ยานี้ต้องฉีดเข้าเส้น ระยะเวลา 5 วัน ถึง 10 วัน

- แอนติบอดีที่นำมาใช้รักษาประธานาธิบดีทรัมป์ ที่กล่าวในวารสาร Science เป็นของบริษัท Regeneron เป็นโมโนโคลนอลแอนติบอดี 2 ชนิด ที่จำเพาะต่อ Spike ใน 2 ส่วน ได้มีการศึกษาในหนูและในลิง และมีการศึกษาในผู้ป่วยโควิด-19 ระยะที่ 1 และ 2 จำนวน 275 คน โดยผู้ป่วยมีอาการไม่มาก เปรียบเทียบกับยาหลอก โดยให้ยาที่มีแอนติบอดี 2 ขนาด ขนาด 8 กรัม และ 2.5 กรัม พบว่า สามารถลดปริมาณไวรัสได้อย่างมีนัยยะสำคัญ และลดระยะเวลาการรักษาโรคได้ ขณะนี้อยู่ในการศึกษาใช้รักษาระยะที่ 3 ในผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นรวมทั้งผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาล ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ขนาด 8 กรัม

โมโนโคลนอลแอนติบอดีที่ได้ ใช้หลักการสร้างขึ้นจากเซลล์เม็ดเลือดขาวของมนุษย์ที่หายป่วยจากโรคโควิด-19 แล้ว จึงมีลักษณะจำเพาะที่จะขัดขวางการเข้าไปจับของเชื้อไวรัสกับเซลล์ หลักการดังกล่าวคล้ายกับการให้ Plasma ผู้ป่วยที่หายจากโรคแล้ว การให้ Plasma ก็เช่นเดียวกันก็จำเป็นที่จะต้องให้เร็ว ถ้าผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือเกิน 14 วันไปแล้วร่างกายจะสร้างแอนติบอดีขึ้นมาได้แล้ว การให้ไปจะไม่เกิดประโยชน์

ทั้งนี้ Plasma จากผู้ที่หายจากโรคแล้ว จะมีภูมิต้านทานต่อโรคโควิด-19 เมื่อมีผู้มาบริจาคเป็นจำนวนมาก ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ก็สามารถที่จะนำพลาสมาที่มีภูมิต้านทานสูงมาผลิตในรูปแบบของเซรั่ม ที่มีความเข้มข้นของภูมิต้านทาน จะคล้ายกับโมโนโคลนอลแอนติบอดีดังกล่าว แต่จะมีแอนติบอดีหลายอย่างรวมกันเข้ามา เซรั่มที่ผลิตขึ้นมาจะเก็บได้นานกว่า การจะนำมาใช้ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม

เซรั่มที่เอามาใช้ในการรักษาในปัจจุบัน เช่น ป้องกันการติดเชื้อไวรัส B หลังสัมผัสโรค เซรั่มที่ใช้ป้องกันการเกิดโรคพิษสุนัขบ้าหลังถูกสุนัขบ้ากัด ก็เช่นเดียวกันการให้ภูมิต้านทานจะต้องให้ตอนที่ผู้ป่วยยังไม่มีการสร้างภูมิต้านทานเกิดขึ้นและเพื่อป้องกัน ลดจำนวนของไวรัสลง

- นอกจากนี้ ในวารสาร Science ยังได้พูดถึงยาที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้รับอยู่แล้วได้แก่วิตามิน ดี ธาตุสังกะสี ยาลดกรด Fomatidine เมลาโทนิน และ Aspirin

- บทบาทของวิตามินดีในปัจจุบัน เกี่ยวข้องกับระบบภูมิต้านทานของมนุษย์ ในการกำจัดเชื้อโรค

- สังกะสี มีส่วนและบทบาทในระบบเอนไซม์ของมนุษย์ และการสร้าง DNA RNA ยาลดกรดที่ใช้กันมากก็เพื่อป้องกันกรดไหลย้อน 

- เมลาโทนิน ไม่ทราบว่าเพื่อต้องการให้นอนหลับเพราะประธานาธิบดีสหรัฐฯมีเรื่องมาก หรือเปล่าก็ไม่รู้

- Aspirin ก็ช่วยป้องกันการแข็งตัวของเลือด จะมีการใช้มากในผู้สูงอายุอยู่แล้ว

ขณะนี้ทั่วโลกได้สนใจอาการของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก โดยทั่วไป ถ้าผ่านพ้นวันที่ 5 หลังมีอาการ โดยที่ไม่มีอาการปอดบวมหรือต้องการออกซิเจน ก็น่าจะเบาใจไปได้ระดับหนึ่ง และยังไม่รู้ว่าวันที่ 15 ต.ค.จะได้มีการดีเบตรอบ 2 หรือไม่และจะจัดกันอย่างไร เพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook