"นก จริยา" เผยชีวิตความภูมิใจใต้คำว่า "เต้นกินรำกิน" ไม่ยึดติด ไม่คิดทวนเข็มนาฬิกา
โลดแล่นในวงการบันเทิงมายาวนานมาก สำหรับนักแสดงและผู้จัดคนเก่ง นก-จริยา แอนโฟเน ที่ถ่ายทอดผลงานออกมาให้แฟนๆ ได้ชมมาแล้วนับไม่ถ้วน จนเข้าไปนั่งอยู่ในใจของแฟนละครทั่วบ้านทั่วเมือง และในปัจจุบันได้รังสรรค์ผลงานดีๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องในฐานะผู้จัดละครน้ำดีแห่งค่าย "เมกเกอร์เจ" ที่ล่าสุดได้ส่งผลงานสุดปังสร้างจากเค้าโครงเรื่องจริงอย่างละครเรื่อง "ร้อยเล่ห์มารยา" ออกอากาศทางช่อง 3 ออกมาให้แฟนๆ ได้ชมซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม
ทั้งสวย เก่ง และยืนระยะในวงการมานานขนาดนี้ พลาดไม่ได้ sanook.com ขอแบ่งคิวอันแน่นของผู้จัดคนเก่ง มาพูดคุยถึงการทำงานชิ้นล่าสุด และเปิดชีวิตในวงการบันเทิงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พร้อมทั้งเปิดชีวิตรักกับสามีสุดหล่อ จอนนี่ แอนโฟเน กับสิ่งที่แฟนๆ มองว่าคู่ของเธอและสามีนั้นช่างเป็นคู่ที่สมบูรณ์และประสบความสำเร็จในชีวิตครอบครัวเอามากๆ ว่าเจ้าตัวมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
ขอถามถึงที่มาของ "ร้อยเล่ห์มารยา" เห็นว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว?
"ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าละครเรื่องนี้มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริงของเพื่อนสนิทของนกคนหนึ่งที่เขามาปรึกษาปัญหาชีวิตกับเราอยู่หลายปีแล้ว และมันไม่จบไม่สิ้นสักที บวกกับเราเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขามันไม่ใช่มีแค่ครอบครัวเขาที่เจอ เพราะเราจะได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้ หรือใกล้เคียงแบบนี้ในสังคมอีกมากมายเลย
พอวันหนึ่งที่เรื่องของเพื่อนเรามันจบ มันผ่านไปแล้ว เราก็ได้มาคุยกันว่า เราขอนำเรื่องของเขามาทำละครได้ไหม ตอนแรกแค่พูดเล่นๆ ก่อน แต่เขาบอกว่าทำเถอะเพราะเขาไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะอย่างที่บอกไม่ใช่แค่เขาที่เจอปัญหาแบบนี้ในสังคม และถ้าเรานำมาร้อยเรียงดีๆ มันน่าจะมีหลายๆ วิธีคิดที่เราจะสื่อกับคนได้
ดังนั้นเราจึงนำเรื่องราวนี้มาเรียงร้อยดู เรื่องของเขาเป็นแรงบันดาลใจ นำมาประกอบกับคนเขียนบท ของผู้กำกับ นำมาแชร์กัน ปะติดปะต่อจนเป็นเรื่องๆ นี้ออกมา ซึ่งเรามองว่าในชีวิตของทุกคน ทุกคนสามารถเป็นพระเอก นางเอก ในเรื่องนี้ได้เลย ตัวละครในเรื่องนี้จะมีความเป็นคนจริงๆ และบางตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นก็มาจากบุคคลิกของคนรอบๆ ตัวเรา เป็นสังคมเราๆ นี่แหละ จับต้องได้ทุกอย่าง
ซึ่งต้องบอกว่าเรื่องจริงของเพื่อนนกนั้นหนักกว่านี้ มีมุมที่ดาร์กกว่านี้ คือ เป็นรักสามเส้าระหว่างพี่น้องแท้ๆ แต่เราก็ทำใจไม่ได้ที่จะดาร์กขนาดนั้น เราจึงนำมานำเสนอในแง่มุมที่เราสามารถนำเสนอและออกอากาศได้ เพื่อที่อยากจะให้คนนำกลับเอาไปคิดดูค่ะ"
คิดว่าเสน่ห์ของเรื่องนี้ที่จะทำให้คนดูสนใจคืออะไรบ้าง?
"ต้องบอกก่อนว่า คำว่า "ร้อยเล่ห์มารยา" สำหรับนกนั้นแทนความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสังคม ในโลกใบนี้ เรารู้ตัวไหมว่าเราเองอยู่กับจริตมารยาแบบไหน เราอยู่กับสื่อทุกประเภท เรารู้ทุกอย่างบนโลกเลยแต่เราไม่รู้เรื่องของคนคนนี้ คนข้างในตัวเราเอง ระหว่างที่มีร้อยจริตร้อยมารยาเลยที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา เรารู้ไหมว่าเราเป็นยังไงอยู่ เวลาเกิดปัญหาขึ้นเราใช้วิธีไหนแก้ปัญหา อยากจะนำเสนอว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขอเพียงเรากลับมามองคนข้างในตัวเอง กลับมามีสติ แล้วทุกอย่างอาจจะง่ายขึ้น
นกคิดว่าเสน่ห์และความน่าสนใจของเรื่องนี้ คือ การเล่าเรื่องตัวละครแบบที่เรียลขึ้น ไม่ได้นำเสนอคำว่าพระเอกต้องสีขาว นางเอกคือสีขาว ตัวร้ายคือสีดำ แต่เราเล่าถึงทั้งมุมดีและมุมด้อยของทุกคน มีทั้งทำถูก ทำไม่ถูก แต่ตัวละครมีความพัฒนาไปพร้อมๆ กัน กับปัญหาที่เกิดขึ้น อย่างนางเอกของเรื่อง บางคนอาจจะตั้งคำถามว่าทำไมนางเอกต้องมีครอบครัวแล้วด้วย ไม่ชอบเลย ซึ่งก็มีคำถามว่าแล้วนางเอกมีครอบครัวแล้วผิดตรงไหน เพราะเขาก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง"
คนค่อนข้างสนใจตัวพระ-นาง "โป๊ป-เบลล่า" ทำไมถึงเป็นสองคนนี้?
"ตัวละครตัวแรกที่นกคิดถึง คือ โป๊ป ตัวละครตัวนี้เขาเหมือนเป็นตัวสติของเรื่อง และเราเคยทำงานกับเขา เขาเป็นคนที่สื่ออะไรออกมาด้วยความเรียบๆ ความอบอุ่น ความเบาๆ ของชีวิตได้น่าดูและละมุน พอเราคิดถึงโป๊ปต่อไป ตัวนางเอกที่เขาเป็นคนต้องมาเจอปัญหาทุกอารมณ์เลย เป็นคนที่เป็นสีเทา ต้องทั้งร้องไห้ เสียใจ ฟูมฟาย กระโดดจิกตีขยี้หัว ทุกอย่าง ต้องเป็นตัวละครที่เอาอยู่ซึ่งลงตัวที่สุดที่เบลล่าค่ะ พอเคาะว่าเป็นคู่นี้ทันทีความหนักอึ้งก็ถาโถมเข้ามา เพราะเขาเป็นคู่แห่งตำนาน (หัวเราะ)
เราก็ต้องกลับมามอง กลับมาคิด เพราะแน่นอนไม่ว่าสองคนนี้จะกลับมาลงละครเรื่องไหนทุกเรื่องต้องมีความกดดัน เราต้องพาเขาสองคนกลับมาจากละครพาฝันที่เคยประทับใจ กลับมาสู่ชีวิตจริงๆ ปัจจุบัน และแฟนละครจะได้เห็นเขาในมุมที่ต่างออกไปค่ะ เราจะบอกว่าไม่หวั่นไม่กดดันเลยก็เป็นไปไม่ได้ เราหวั่นค่ะ แต่เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด"
คาดหวังกับละครเรื่องนี้ไว้ยังไงบ้าง?
"จริงๆ แค่คนดูดูแล้วสนุก มีความสุขเราก็โอเคแล้ว แต่ถ้าใครดูแล้วสามารถเก็บเกี่ยวเอาข้อคิด แง่คิดที่เราแฝงเอาไว้กลับไปคิดแล้วทำให้เขามีมุมมองที่ต่างออกไป หรือ นำไปปรับใช้ได้เราก็ดีใจแล้ว เพราะอยากจะบอกว่าคนที่สามารถสอนตัวเราเองได้ดีที่สุดไม่ใช่ใครเลยแต่เป็นตัวเราเองนี่แหละค่ะ"
ตอนนี้เดินทางบนเส้นทางการเป็นผู้จัดมากี่ปีแล้ว?
" หูย! นานมาก 21 ปี แล้วค่ะ"
เห็นการเปลี่ยนแปลงของวงการบันเทิงเปลี่ยนไปยังไงบ้าง?
"ต้องยอมรับว่าเปลี่ยนไปมากค่ะ ทุกอย่างเปลี่ยนไวสำหรับโลกยุคนี้ แต่ถามว่าเราเปิดใจไหม นกเปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงและพร้อมปรับตัวและพร้อมเรียนรู้เสมอนะคะ เพราะการไม่เปิดใจมันจะทำให้เราไปยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และต้องบอกว่าโชคดีที่เรามีลูกและลูกเหมือนคนสะท้อนให้เราเห็นความเปลี่ยนแปลงนั่นแหละ เขาก็จะมาบอกว่า มีละครแบบนี้ๆ ไม่เอาแล้วนะ คนไม่ดูแล้ว บางทีก็มาบอกว่าที่ประเทศนั้นประเทศนี้เขามีละครแนวนี้ แนวนั้นนะ เราก็เหมือนได้เปิดโลก รวมทั้งคนดูของเราเอง ที่เขาวิจารณ์หรือแนะนำงานของเรามา เราก็เก็บเอามาพัฒนาต่อ"
"เรามองว่าการที่เราฟังมากขึ้น ฟังคนรอบตัว ฟังคนยุคนี้ที่เขาพูดที่เขาเสนอมาแล้วนำกลับมาคิด บางอย่างเราว่ามันก็ดีเหมือนกันนะ ไม่ใช่ว่าเราอาบน้ำร้อนมาก่อนแล้วถูกทุกเรื่อง อย่างการเล่าเรื่องผ่านละครเราก็ต้องรู้ว่าบางทีเล่าเรื่องแบบเดิมไม่ได้แล้วนะ เช่น เรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิสตรี ความเสมอภาค อะไรแบบนั้น เราต้องเปิด ต้องปรับตามโลก ถ้าไม่ปรับเราก็ตกโลก แต่ต้องยอมรับว่าก็ไม่ได้อยู่ง่ายๆ ก็เรียกว่าอยู่ยากเลยล่ะ แต่เราก็เดินตามนาฬิกาไป เราไม่ทวนเข็มนาฬิกา"
"และสิ่งหนึ่งที่เรายังศรัทธาในงานของเรา คือ เราเป็นสื่อ เราสามารถสอดแทรกข้อคิด แง่คิด มุมที่ดี เข้าไปกับสิ่งที่เรานำเสนอ แม้อาจจะไม่มีใครเห็นแต่เราภูมิใจว่าเราได้รับผิดชอบสังคม เราทำถูกต้องแล้วในฐานะสื่อ และมันจะทำให้เรารู้สึกว่างานเรามีคุณค่าด้วย ไม่ใช่จะเอาแต่ตัวเลขๆ ในขณะที่คนไม่ได้อะไรกลับไปเลย"
แต่วันนี้ขอทวนเข็มนาฬิกาไปยุคที่เราเป็นนางเอกหน่อย ยุคนั้นวงการมายา หรือ วงการบันเทิงมันยากเหมือนในละครที่เราเคยดูกันไหม?
"(หัวเราะ) ยุคนั้นสื่อยังไม่เยอะขนาดนี้ การที่คนจะได้เสพอะไร เขาก็ได้ดูอยู่ไม่เท่าไหร่ ดูไปตามที่สื่อบอก บางคนอาจจะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อก็ได้ อย่างการที่จะเข้าไปเป็นนักแสดงในยุคนั้นก็ไม่ใช่จะเกิดได้ง่ายๆ ต้องพิสูจน์ตัวเองกันเยอะ กว่าจะฝ่าด่านขึ้นมาและกว่าจะอยู่ได้ ต้องเป็นคนที่รักจริง ลุยจริง ลำบากจริง แต่ความยากง่ายของยุคนั้นกับยุคนี้ก็ต่างกันออกไป เพราะสมัยนี้สื่อเยอะเกิดง่าย คนธรรมดาก็โด่งดังได้ เราก็เข้าใจเพราะโลกมันเป็นแบบนี้"
เคยคิดไหม ถ้าไม่ได้เป็นนักแสดงหรือผู้จัดเราจะประกอบอาชีพอะไร?
"ไม่เคยคิดเลย (หัวเราะ) เพราะอายุสิบกว่าๆ ก็เป็นนักแสดงแล้ว แล้วก็ยาวมาเลย ทำให้เราผูกพันกับงานในวงการตรงนี้ นกรักการแสดงมาตลอด อาจจะมีช่วงท้อบ้างตอนเลี้ยงลูกใหม่ๆ เพราะการเป็นแม่มันก็หนักและการทำงานก็หนัก ก็ค่อนข้างอื้ออึง แต่พอเราแบ่งเวลาได้แล้วทุกอย่างก็โอเคค่ะ"
เรารักอะไรในความเป็นวงการบันเทิง?
"นกว่าก้าวแรกของนกในวงการนี้เป็นก้าวที่โชคดี คือ เราเริ่มทำแล้วเรารู้สึกดีกับงาน จริงๆ นกไม่ใช่คนที่ตั้งใจเข้าวงการตั้งแต่แรก แต่พอมีโอกาสได้เข้ามา วันแรกที่เข้าไปคุยแล้วเราเจอคนดีเหมือนเจอครอบครัวที่ดี ทำให้เรารู้สึกสนุกกับสิ่งใหม่ บวกกับพอเราได้ลองทำในสิ่งที่เขาบอกให้เราทำแล้วทำออกมาได้ดีเราก็จะเข้าใจมากขึ้น และมีสิ่งที่อยากรู้ อยากศึกษาต่อไปอีก"
เคยเจอเด็กนักแสดงรุ่นใหม่ๆ แสบๆ กับเราไหม?
"โอ้โห! (หัวเราะ) มากมาย เพราะต้องบอกว่าตอนเราเด็กๆ ก็ไม่ธรรมดา คือ ต้องบอกว่าเด็ก ก็จะมีทั้งเด็กที่ช่างถาม ถามตลอดเวลา เด็กที่ไม่ค่อยตั้งใจ เด็กที่อาจจะมาแบบว่าไม่ได้อยากเล่นละครหรอก แต่ก็มาทำไปงั้นๆ คือ มีทุกรูปแบบ แต่เราก็มองย้อนกลับไปยุคที่เราเป็นเด็ก เราเองก็เป็นประเภทเด็กเฮี้ยว แต่เป็นเด็กเฮี้ยวที่ชอบเล่นละคร"
ยุคนั้นเราแสบแค่ไหน?
"(ยิ้ม) นกเป็นคนดื้อเงียบ ไม่กล้าใช้คำว่าแสบ แต่เฮี้ยว เวลาโตแล้วทำงานเสร็จก็มีไปเที่ยวโน่นนี่นั่นกับกลุ่มเพื่อน ถ้าไปเที่ยวแล้วเจอคนพูดไม่ถูกหู เช่น ด่าเราว่าอีดาราอย่างงั้นอย่างงี้ มาดูถูกผู้หญิง หรือ ปฏิบัติไม่ดีกับผู้หญิง นกจะเป็นโรคของขึ้น ซึ่งต้องบอกก่อนนะคะว่าไม่ดีเลย (หัวเราะ) เพื่อนในกลุ่มต้องคอยระวังเรา เพราะเราสามารถก่อเรื่องได้ตลอดเวลา"
แสดงว่าเคยก่อเรื่องมาแล้ว?
"เคยก่อมาแล้ว (หัวเราะ) ดีที่เพื่อนเราดีทุกคน เช่น เราไปเที่ยวเสร็จตามประสาวัยรุ่นก็ไปกินข้าวต้มต่อ ตอนนั้นอยู่กับเพื่อนๆ พี่ๆ นักแสดงหลายคน แล้วมีโต๊ะตรงข้ามที่มองหน้าเราแล้วพูดว่าอีดาราพวกนี้ อย่างั้นอย่างงี้ คือ พูดดูถูกผู้หญิง แล้วตอนนั้นเราของขึ้นแบบไม่รู้ตัวเลย
คว้าขวดอะไรได้ไม่รู้ฟาดจนแตกแล้วเดินไปถึงเขาเลย แล้วถามเขาว่าพูดออกมาแบบนี้ได้ยังไง จะขอโทษไหม แล้วเพื่อนก็คว้าคอเสื้อเรากลับมา ไม่งั้นอาจจะเกิดอะไรมากกว่านี้ คือ เราเป็นแบบนี้ ของขึ้นง่ายเพราะไม่ชอบการดูถูกผู้หญิง เกลียดมาก จะทนไม่ได้ และมีหลายครั้งที่เกิดกรณีแบบนี้เพื่อนต้องคอยระวัง จนตอนนี้กลายเป็นเรื่องเล่าขานของเพื่อนๆ เลยว่า ไอ้นกเนี่ย เมื่อก่อนต้องคอยดูมันไว้ดีๆ (หัวเราะ)
จนเรามารู้ตัวว่าเราจะทำให้เพื่อนเดือดร้อนทำให้เรามีสติมากขึ้น และหลังจากนั้นเราก็บอกตัวเองว่าเราก็ปล่อยมันผ่านไปซะ หรือ นิ่งซะไม่ต้องไปโกรธมันก็จบ เพื่อนจะได้ไม่ต้องมาคอยห้าม เราก็ค่อยๆ ปรับตัวเองมาเรื่อยๆ"
จริงไหมที่ชีวิตดาราสมัยก่อนผู้ใหญ่จะคอยห้ามหลายๆ เรื่อง?
"จริงค่ะ เพราะเมื่อก่อนเชื่อว่าหลายคนจะต้องเคยได้ยินคำว่า "เต้นกินรำกิน" ยุคนั้นคนอาจจะมองว่าผู้หญิงที่ทำอาชีพเต้นกินรำกินเป็นคนที่ไปเรื่อยๆ เป็นคนอิลุ่ยฉุยแฉก คนก็จะมองแปลกๆ เล่นกับใครก็ต้องไปกินนอนอยู่ตรงนั้น แต่ความจริงแล้วเราเป็นนักแสดง เราอินกับบทน่ะถูกแล้ว แต่ไม่ใช่อินแล้วจะยุติบทบาทนั้นไม่เป็น เพราะจริงๆ แล้วการแสดงเป็นศาสตร์หนึ่งที่เอาจริงๆ ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำออกมาได้ดี"
แล้วเรารู้สึกยังไงกับคำว่า "เต้นกินรำกิน" ?
"ถ้าถามนก รุ่นของนกพอเราเข้ามาทำงานตรงนี้เรารักตรงนี้แล้วเราไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำนี้ พูดได้ ไม่โกรธ เพราะเราก็เป็นจริงๆ เราภูมิใจกับอาชีพและสิ่งที่เราเป็นมาตลอดเราก็เลยไม่ได้ไปให้ความรู้สึกเจ็บหรือไม่เจ็บกับคำคำนี้"
คุยเรื่องวงการกันมาพอสมควร ขอขยับมาเรื่องอบอุ่นๆ อย่างเรื่องครอบครัวบ้าง ครอบครัวเราเป็นหนึ่งในครอบครัวที่หลายคนมองว่าประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ เรามีวิธีการดำเนินชีวิตครอบครัวกันยังไงบ้าง?
"คำว่า "ประสบความสำเร็จ" มีจริงไหมอันนี้เราก็ไม่รู้นะคะ เราอยู่กันมายี่สิบกว่าปี ผ่านเรื่องทุกข์ร้อน หนาว เศร้าโศกกันมาทุกรูปแบบ ไม่มีชีวิตไหนที่เพอร์เฟ็กต์ ทุกชีวิตต้องเรียนรู้ อย่างคู่เราทุกวันนี้ก็ยังเรียนรู้กันอยู่ตลอด คนเราในทุกช่วงชีวิตเรามีการเรียนรู้ที่เปลี่ยนไป ตอนนี้นกยังเรียนรู้ตัวเอง เรียนรู้ชีวิตคู่ ยังเรียนรู้การแชร์กันกับคู่ชีวิต เรียนรู้กับลูกในแต่ละวัน ความสมบูรณ์แบบไม่มีจริงค่ะ แต่ชีวิตนกนกเชื่อในคำว่าสติ"
เป็นคุณพ่อคุณแม่อยู่กันมานานมากยังมีโมเมนต์หวานๆ กันอยู่ไหม?
"โอ้!ลืมไปแล้ว (หัวเราะ) พูดยังไงดีนะ คือ สุดท้ายแล้วมันก็ คือ คำว่าชีวิตคู่เนาะ เขาคือเพื่อน คือคนที่เราจะต้องเดินทางไปด้วยอีกยาวไกล เพราะฉะนั้นมีอะไรเราก็จะแชร์กัน เพราะชีวิตคู่ไม่ได้มีแค่คำว่าฉันแต่เป็นคำว่าเราค่ะ มีอะไรเราก็ต้องค่อยๆ ปรับและเรียนรู้กันไป"
เห็นว่าคุณสามีก็มีเรื่องนอกลู่นอกทางเหมือนกัน?
"อู้ย! มี ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหมดแล้ว (หัวเราะ) ซึ่งแต่ละเหตุการณ์มันก็ทำให้เราและเขาได้คิดอะไรหลายๆ อย่าง อย่างตอนนั้นการที่เราใจเย็นมันก็แก้ปัญหาได้ แต่ถ้าเราใจเย็นแล้ว คนที่อยู่ข้างๆ เราเขาก็ยังไปเรื่อยแสดงว่ามันก็ไปด้วยกันไม่ได้แล้วล่ะ จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของคนสองคน ชีวิตคู่ก็คือต้องเป็นคู่ ต้องเป็นเรา ไม่ใช่ว่าวันนี้ฉันโอเคแล้วนะแต่เธอยังไม่โอเคเลย หรือ วันนี้เขาโอเคแต่เรายังบ้าๆ บอๆ อยู่เลย มันก็ไม่มีทางอยู่กันได้ไง"
"อย่างที่บอกว่า ความสมบูรณ์แบบไม่มีจริง ชีวิตคู่ก็เหมือนกันเพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกัน ตรงไหนผุเราก็ช่วยกันปะ ตรงไหนเสียก็ช่วยกันซ่อมและจูงมือกันไป ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ก็แค่ยอมรับความจริง"
แสดงว่าตอนเขานอกลู่นอกทางเขาหยุดเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกันต่อไป?
"ณ ตอนนั้นก็มีการพูดคุยกันและเขาเองก็แสดงอะไรหลายๆ อย่างให้เราสบายใจ และผ่านการช่วยกันแก้ปัญหามา ทำให้ทุกอย่างโอเค แต่ว่าตราบใดที่เรายังไม่แก่จนจะลงโลงเราจะไม่ใช้คำว่าชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะตอนนี้นกอายุ 55 นกก็ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเจออะไรอีก เราก็แค่ดูแลตัวเราเองให้ดีที่สุดและประคับประคองทุกๆ อย่างให้เป็นไปด้วยดี ทำให้ดีที่สุดในทุกๆ วัน"
ทุกวันนี้ยังมีอยู่ไหม?
"ไม่มีๆ ถามว่าเขาเจ้าชู้ไหม ณ วันนั้นนกมองว่าเขาเจ้าชู้ แต่เรากลับมาถามตัวเองว่าแล้วถ้าเราเป็นเขาล่ะ ฉันหล่อขนาดนั้นเนาะ ใครๆ ก็เดินเข้ามาหา เป็นเราก็ต้องมีบ้างล่ะวะ (หัวเราะ) เราก็มองทั้งมุมเราและเขา แต่ว่าถ้าเขาจะมีแค่มุมนั้นมุมเดียวและไม่ยอมเปลี่ยน หรือ ไม่มีมุมน่ารัก หรือดีกับเราเลย เราก็คงจะไม่สามารถอยู่กันมาได้ อย่างพี่จอนนี่เขาก็จะมีมุมที่เขาดี เป็นพ่อที่ดี เป็นสามีที่ดี หลายๆ อย่างมันผสมกลมกลืน ทำให้เราเดินทางร่วมกันมาได้"
แล้วเราเองเป็นภรรยาสไตล์ไหน?
"นกเป็นสไตล์แบบที่คิดว่าทั้งตึงและหย่อนมันต้องมีให้พอดีในชีวิตค่ะ อะไรที่เรารู้สึกว่าเราอดทนแล้ว เราต้องมาแชร์กันละว่าเราจะปรับปรุงมันยังไงดี ซึ่งตัวนกเองก็ไม่ได้ห้ามเขาไปซะทุกอย่าง ชีวิตเป็นของเขา เขาก็เป็นเขา เราก็เป็นเรา ทุกอย่างต้องอยู่บนความพอดีค่ะ และถ้าถามว่าพี่จอนนี่เป็นพ่อบ้านสไตล์ไหน ก็ต้องบอกว่าเราเหมือนเพื่อนกัน ไม่มีใครกลัวใคร บางเรื่องเขาผิดเขาก็จะนิ่ง เราก็จะรู้เราดูออก ทันกัน เพราะว่าอยู่กันมานานค่ะ บางวันก็ตบบ่ากันเป็นคู่ชีวิตที่ไปพร้อมๆ กันมากกว่า ไม่มีช้างเท้าหน้าเท้าหลัง"
จากการผ่านชีวิตมาจนถึงตอนนี้ยังมีสิ่งไหนที่คาดหวังอยากให้เกิดขึ้นกับชีวิตเราต่อจากนี้อีกไหม?
"คนเราก็ต้องมีความคาดหวังเป็นธรรมดาเนาะ สำหรับนกเองความคาดหวังอยากให้เกิดขึ้นคือ อยากให้การใช้ชีวิตแต่ละวันมันเป็นไปอย่างมีความสุขในแบบของเรา แบบที่มันพอดีๆ สบายๆ ถ้ามีปัญหาก็แก้และเรียนรู้ได้ รวมทั้งอยากให้สุขภาพดี ส่วนเรื่องของการทำงานอยากให้เราทำละครที่สามารถสร้างความสุขให้คนดูพร้อมกับเป็นสื่อดีๆ ให้คนได้ด้วยค่ะ ก็คือจะหวังให้พอดีๆ กับสิ่งที่ตัวเองคิดว่าจะสามารถมีศักยภาพทำได้ จะไม่คาดหวังอะไรที่หนักหนาเกินไป"
สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงแฟนๆ ละครไหม?
"อยากจะขอบคุณที่สนับสนุนกันตลอดมา ก็อยากจะฝากผลงานเรื่อง "ร้อยเล่ห์มารยา" ถึงจะเป็นเรื่องที่ทำจากเรื่องจริงและดูร้อนดูแรงขึ้น แต่เรื่องราวจะดำเนินไปอย่างมีเหตุผล พร้อมกับแทรกอะไรที่เป็นสิ่งดีๆ เข้าไปให้ แต่ก็ขอให้ดูละครให้สนุก แต่ถ้าได้รับอะไรดีๆ จากละครไปบ้างนกก็มีความสุขแล้วค่ะ"
และนี่คือเรื่องราว มุมมองดีๆ ของ นักแสดงและผู้จัดละครฝีมือคุณภาพ ผู้คร่ำหวอดในวงการบันเทิงมาหลายสิบปีอย่าง นก จริยา ที่ต้องบอกเลยว่ากว่าจะผ่านร้อยเล่ห์มารยาในชีวิตมาได้นั้น ได้รับประสบการณ์และบทเรียนดีๆ มามากมาย และได้นำข้อคิดต่างๆ จากการใช้ชีวิตมาสอดแทรกมอบสิ่งดีๆ ให้ผู้ชมเสมออีกด้วย
อัลบั้มภาพ 27 ภาพ