แม้ว ชี้บาปเหมือน สึนามิ มาเร็วไปเร็วอ้างใช้กรรมหมดแล้ว!

แม้ว ชี้บาปเหมือน สึนามิ มาเร็วไปเร็วอ้างใช้กรรมหมดแล้ว!

แม้ว ชี้บาปเหมือน สึนามิ มาเร็วไปเร็วอ้างใช้กรรมหมดแล้ว!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เอม ร่ำไห้หลังเบิกความคดียึดทรัพย์โผกอดแม่

เมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายสมศักดิ์ เนตรมัย ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมองค์คณะรวม 9 คน นัดไต่สวนพยานคดีหมายเลขดำที่ อม.14/2551 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว รวมทั้งผู้มีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินรวม 22 คน มูลค่ากว่า 7.6 หมื่นล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ โดย น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะผู้คัดค้านการอายัดทรัพย์สินคดีนี้ เดินทางมาพร้อมกับคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ นายพานทองแท้ ชินวัตร พี่ชาย นายบรรพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมาน และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน โดยมีสีหน้าแจ่มใส

น.ส.พินทองทาเบิกความว่า พยานมีทรัพย์สินซึ่งถูกอายัดทรัพย์ในคดีนี้รวมกว่า 23,529,800,000 บาท ทั้งนี้ พยานซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป มาจากนายพานทองแท้ พี่ชาย รวม 2 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 9 กันยายน 2545 จำนวน 367 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 1 บาท ส่วนครั้งที่ 2 วันที่ 3 มิถุนายน 2546 ซื้อหุ้นบริษัทชินคอรป์ฯ และบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) รวม 110 ล้านบาท

"ส่วนเงินที่นำมาซื้อหุ้นเป็นเงินที่มารดา (คุณหญิงพจมาน) ให้เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบ 20 ปี เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2545 จำนวน 370 ล้านบาท โดยเงินของขวัญที่บุพการีมอบให้ไม่ต้องเสียภาษี ส่วนเหตุที่นำเงินไปซื้อหุ้นเนื่องจากมารดาอยากให้นำเงินไปลงทุนทำธุรกิจ ที่ซื้อหุ้นราคาหุ้นละ 1 บาท เพราะพี่ชายซื้อหุ้นมาจากพ่อแม่ในราคาเดียวกัน ค้าขายแบบพี่น้องไม่คิดเอากำไร" น.ส.พินทองทากล่าว

น.ส.พินทองทาเบิกความอีกว่า สำหรับการถือหุ้นบริษัทแอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ จำกัด ได้ซื้อหุ้นและเข้าเป็นกรรมการบริษัทในวันเดียวกัน เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2548 โดยเป็นผู้ถือหุ้น 1 ใน 5 ของบริษัท ส่วน 4 หุ้นที่เหลือพี่ชายเป็นผู้ถือและเป็นกรรมการด้วย สำหรับบริษัทแอมเพิลริชฯ มีทุนจัดตั้ง 1 เหรียญสหรัฐ โดยไม่ได้ดำเนินกิจการใดๆ เพียงแต่ถือหุ้นในบริษัทชินคอรป์ฯ ซึ่งวันที่ 4 มกราคม 2549 พยานและพี่ชายในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทชินคอรป์ได้โอนขายหุ้น ให้กับบริษัทแอมเพิลริชฯ จำนวน 164.6 ล้านหุ้น และเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 จึงนำหุ้นที่บริษัทแอมเพิลริชฯถืออยู่ขายให้กับกงอทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ผ่านตลาดหลักทรัพย์ โดยพยานได้รับชำระเงินผ่านบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ ในวันที่ 26 มกราคม 2549 จำนวน 29,696 ล้านบาทเศษ

"ขณะที่บัญชีดังกล่าวก่อนได้รับชำระเงินค่าหุ้น พยานมีเงินในบัญชี 1,773 ล้านบาทเศษ ซึ่งไม่ใช่เงินที่ได้จากการขายหุ้น แต่กลับถูก คตส.(คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) อายัดเงินในบัญชีไว้ทั้งหมด"

น.ส.พินทองทาเบิกความและว่า สำหรับเหตุที่พยานและพี่ชายไม่ได้ขายหุ้นโดยตรง แต่กลับโอนขายให้บริษัทแอมเพิลริชฯ ก่อนเพราะต้องการให้เงินซื้อขายทั้งหมดยังอยู่ในประเทศไทยตามคำปรึกษาของนางกาญจนาภา ถ้าขายโดยตรงกับกองทุนเทมาเส็ก เงินจะไปอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ทั้งนี้ เงินปันผลจากการถือหุ้นบริษัทชินคอร์ป 6 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2546-2548 รวม 40 ล้านเหรียญสหรัฐ พยานนำไปฝากไว้ที่ธนาคารในสิงคโปร์ โดยทั้งเงินปันผลและเงินซื้อขายหุ้นทั้งหมดพยานไม่ได้มอบให้บิดาและมารดาแต่อย่างใด ส่วนที่พี่ชายแบ่งเงินให้กับมารดาเพราะเป็นการชำระหนี้ในการซื้อขายหุ้น

น.ส.พินทองทายังเบิกความว่า การขายหุ้นดังกล่าวเป็นเรื่องที่พยานและพี่ชายตัดสินใจขายเอง โดยนำเรื่องที่มีตัวแทนจากกองทุนเทมาเส็กมาติดต่อซื้อหุ้นของตระกูลดามาพงศ์ กับนายบรรพจน์ ไปแจ้งให้บิดาและมารดาทราบ ซึ่งบิดาให้คำแนะนำปรึกษา แต่ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจหรือสั่งการให้ขายหุ้น

น.ส.พินทองทาเบิกความต่อว่า ทรัพย์สินหลังจากการขายหุ้นได้นำไปฝากไว้กับธนาคารหลายบัญชี และนำเงินไปลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเปิดบริษัท ชินวัตร แฟมิลี่ แอสเซท จำกัด ในประเทศอังกฤษ ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ต่อมาพยานขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับบริษัทไทย 4 บริษัท บริษัทละ 25 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้ชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนทั้งหมด เพราะพยานถูกอายัดทรัพย์สินในคดีนี้ก่อน

"นอกจากนี้พยานยังนำเงินไปลงทุนในสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประเทศอังกฤษ โดยพยานและพี่ชายเป็นกรรมการ ขณะที่บิดาถือหุ้นอยู่ 200,000 ปอนด์ เป็นเงินที่ขอมาจากมารดา ต่อมาได้ขายหุ้นสโมสรฟุตบอล โดยนำเงินไปลงทุนในเหมืองเพชรประเทศแอฟริกา ให้บิดาซึ่งอยู่ต่างประเทศดูแลบริหาร เพราะไม่ต้องการให้บิดาเครียดและจะได้ไม่เหงา ส่วนที่มีข่าวว่าบิดามีทรัพย์สินอยู่ในประเทศอังกฤษประมาณ 1 แสนล้านบาทนั้น ไม่เป็นความจริง โดยที่ประเทศอังกฤษมีเพียงอพาร์ตเมนต์ ในกรุงลอนดอน ของพยานมูลค่าประมาณ 60-70 ล้านบาท และบ้านของมารดามูลค่า 200 ล้านบาท" น.ส.พินทองทากล่าว

น.ส.พินทองทากล่าวว่า ส่วนความจำเป็นที่จะต้องซื้อหุ้นบริษัทคืนจากบริษัทวินมาร์ค ที่มีนายมามุด มหาเศรษฐีชาวตะวันออกกลาง เพื่อนนักธุรกิจของบิดา เพราะก่อนหน้านั้น บิดาเคยขายหุ้นให้ บริษัทวินมาร์ค ปี 2542 เนื่องจากขณะจะนำบริษัทในเครือชินคอร์ป 5 แห่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ และให้คำมั่นไว้ว่าจะรับซื้อคืน หากไม่ได้นำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ครบตามที่ระบุไว้ ดังนั้น เมื่อพยานมีเงินปันผลจากบริษัท จึงนำเงินซื้อหุ้นที่เคยเป็นธุรกิจของครอบครัวกลับมา ระหว่างปี 2547-2550 มูลค่า 485 ล้านบาทเศษ

น.ส.พินทองทายังเบิกความตอบคำถามศาลด้วยว่า ในการดำเนินธุรกิจของครอบครัว จะมีนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ดูแลเกี่ยวกับการจัดการเอกสาร และทรัพย์สินต่างๆ ภายใต้ความเห็นชอบของบิดาและมารดา แต่บิดาและมารดาไม่เกี่ยวข้องกับการขายหุ้นของพยานและพี่ชาย เมื่อศาลถามย้ำว่า หุ้นที่พยานได้มา เป็นหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ใช่หรือไม่ น.ส.พินทองทากล่าวว่า ไม่ใช่ แต่ซื้อมาจากพี่ชาย เพราะอยากทำธุรกิจส่วนตัว

"สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นเพียงเกมการเมือง เป็นผู้หญิงอายุ 27 ปี ต้องขึ้นศาลเป็นเรื่องที่หนักมาก สงสารพ่อแม่ที่ต้องเห็นลูกตัวเองเจออะไรแบบนี้ หวังว่าลึกๆ จะยังมีความเมตตา และมีความยุติธรรมอยู่ในโลกนี้" น.ส.พินทองทากล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.พิณทองทาเบิกความด้วยเสียงสั่นเครือ ขณะที่คุณหญิงพจมาน และนายพานทองแท้ถึงกับหยิบแว่นตากันแดดสีดำมาสวมทันที โดยคุณหญิงพจมานหยิบผ้ามาเช็ดน้ำตา และภายหลังที่ น.ส.พินทองทาเบิกความเสร็จสิ้นแล้วได้เดินลงจากที่นั่งพยาน ตรงเข้ามาหาคุณหญิงพจมาน และนายพานทองแท้ ซึ่งนั่งเก้าอี้ด้านหลัง ที่นั่งของพยานโดย น.ส.พินทองทาได้กอดซบคุณหญิงพจมานพร้อมกับร้องไห้

ด้านคุณหญิงพจมานกล่าวภายหลังการไต่สวนเพียงสั้นๆ ว่า เมื่อครอบครัวให้การต่อศาลแล้วก็รู้สึกโล่งใจ โดยตนขอเพียงให้ได้รับความยุติธรรมเท่านั้น ขณะที่ น.ส.พินทองทากล่าวว่า รู้สึกกดดัน แต่ก็โล่งใจ ก่อนทั้ง 3 คนจะเดินทางกลับโดยทันที

ทั้งนี้ ศาลนัดไต่สวนพยานครั้งต่อไปในวันที่ 22 กันยายน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ twitter.com.ถึงกรณีที่ น.ส.พินทองทา ขึ้นเบิกความคดียึดทรัพย์ว่า "คอร์รัปชั่นแปลว่าเอาเงินรัฐมาใส่กระเป๋าตัว แต่นี่เป็นเงินครอบครัวที่แสดงบัญชีว่ามีมาก่อนป็นนายกรัฐมนตรีแล้วรัฐฟ้องเพื่อเอาเข้ารัฐ?" และ "บุญบาป เหมือนสึนามิครับ มาเร็วไปเร็ว ผมได้ใช้วิบากกรรมชาติที่แล้วหมดแล้วครับ สึนามิกำลังจะกลับทะเลเพื่อทะเลจะกลับมาสวยงามกว่าเดิม"

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook