สิงคโปร์แอร์ไลน์เปิดขายมื้อหรูบนเครื่องบิน ชดเชยรายได้ช่วงโควิด-19 ระบาด

สิงคโปร์แอร์ไลน์เปิดขายมื้อหรูบนเครื่องบิน ชดเชยรายได้ช่วงโควิด-19 ระบาด

สิงคโปร์แอร์ไลน์เปิดขายมื้อหรูบนเครื่องบิน ชดเชยรายได้ช่วงโควิด-19 ระบาด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ชาวสิงคโปร์จองที่นั่งสำหรับมื้อกลางวันและเย็นบนเครื่องบินที่จอดอยู่ในสนามบินชางงี หลังสิงคโปร์แอร์ไลน์เปิดขายเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปหลังโควิด-19 ระบาด

สายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์เปิดให้ลูกค้าจองที่นั่งสำหรับมื้อกลางวันสุดหรูบนเครื่องบินแอร์บัส เอ380 ที่จอดอยู่ในสนามบินชางงี โดยที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาส 2 โต๊ะแรกขายหมดภายในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง แม้ระคาจะสูงถึง 496 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 15,260 บาท) อีกทั้งยังเปิดให้จองที่นั่งสำหรับมื้อเย็นอีก 2 โต๊ะ โดยมีคนลงชื่อจองที่นั่งสำหรับมื้อกลางวันและมื้อเย็นอีกจำนวนมาก

การเปิดให้คนสามารถไปกินอาหารบนเครื่องบินแต่ละมื้อจะเปิดให้บริการครั้งละ 3 ชั่วโมง โดยจะใช้เครื่องบินแอร์บัส เอ380 ทั้งหมด 2 ลำ แต่ละลำจะรองรับคนเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการเว้นระยะทางสังคม นอกจากนี้ ลูกค้าจะต้องนำหนังสือเดินทางไปแสดงก่อนขึ้นเครื่อง ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายและสวมหน้ากากตลอดเวลาที่ไม่ได้กินหรือดื่ม

ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะนั่งชั้นไหน ที่นั่งชั้นประหยัดราคาเริ่มต้นที่ 39 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1,200 บาท) สามารถนั่งดูหนังขณะกินอาหารได้ แต่เครื่องบินจะไม่ขึ้นบิน ส่วนที่นั่งเฟิร์สคลาสสามารถเลือกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ 2 แก้ว

นอกจากนี้ สิงคโปร์แอร์ไลน์ยังเปิดบริการให้ส่งอาหารแบบเดลิเวอรี พร้อมเครื่องใช้สำหรับโต๊ะอาหารและชุดของใช้บนเครื่องบิน

สิงคโปร์แอร์ไลน์เป็นหนึ่งในบริษัทสายการบินที่พยายามหาโมเดลธุรกิจใหม่มาชดเชยรายได้ที่หายไป หลังไวรัสโคโรนาระบาดจนทำให้การเดินทางระหว่างประเทศหยุดชะงักลง เมื่อก.ย.ที่ผ่านมาก็เพิ่งประกาศปลดพนักงาน 4,300 คนหรือประมาณ 20% ของทั้งหมด

ก่อนหน้านี้ สิงคโปร์ได้พิจารณาจะเปิด “เที่ยวบินที่ไม่ได้ไปไหน” แต่ก็ตัดสินใจไม่เปิดบริการดังกล่าว ขณะที่สายการบินอื่นๆ เช่น ควอนตัสของออสเตรเลีย ได้เปิดบริการเที่ยวบินที่จะกลับมาลงจอดที่เดิมแล้ว

สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ได้เตือนว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาจทำให้คนในอุตสาหกรรมการบินตกงานหลายแสนคน และคาดว่าการเดินทางทางอากาศในปีนี้จะลดลงจากปี 2562 ประมาณ 66 เปอร์เซ็นต์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook