"ผอ.ราชวินิต" เคลียร์ดราม่า ปล่อยตำรวจสูบบุหรี่ในโรงเรียน จนเด็กทนไม่ไหวโพสต์ตำหนิครู

"ผอ.ราชวินิต" เคลียร์ดราม่า ปล่อยตำรวจสูบบุหรี่ในโรงเรียน จนเด็กทนไม่ไหวโพสต์ตำหนิครู

"ผอ.ราชวินิต" เคลียร์ดราม่า ปล่อยตำรวจสูบบุหรี่ในโรงเรียน จนเด็กทนไม่ไหวโพสต์ตำหนิครู
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผู้อำนวยการโรงเรียนราชวินิต ชี้แจง กรณีมีผู้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา มีตำรวจประมาณ 150-200 นาย เข้ามาในโรงเรียน ซึ่งคาดว่าจะมาเตรียมรับมือม็อบในเย็นวันดังกล่าว โดยมีการสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่อง จนเด็กๆ ทนไม่ไหว พร้อมตั้งคำถามว่า เหตุใดครูไม่ห้ามปราม

ล่าสุด (23 ต.ค.63) นางสุพรรัตน์ สัตตธนชัย ผู้อำนวยการโรงเรียนราชวินิต ได้ออกมาชี้แจงถึงเรื่องนี้ว่า ในวันที่พูดถึงนั้น ตำรวจมาขอใช้สถานที่พักชั่วคราวในโรงเรียน ราชวินิต เพื่อควบคุมดูแลความเรียบร้อยในบริเวณนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับม็อบแต่อย่างใด

การตรวจสอบพบว่า มีตำรวจสูบบุหรี่จริง และทางโรงเรียนได้แจ้งไปว่า ไม่สามารถสูบบุหรี่ในโรงเรียนได้ ซึ่งตำรวจก็ได้ขอโทษกับทางโรงเรียน และไม่ได้มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้เกิดขึ้นอีก


เฟซบุ๊กที่โพสต์เกี่ยวกับเรื่องราวในโรงเรียนราชวินิต ครั้งนี้ ระบุว่า

ผมจะขอชี้แจ้งประเด็นต่างๆที่เกิดขึ้นวันที่ 14 ตุลาคม ที่ค่อนข้างชุลมุนให้อ่านครับ ถือว่าจะได้กระจ่างชัดในมุมของนักเรียนบ้างว่า ทำไมผมถึงโกรธ ขนาดที่ต้องตะโกนเถียงกับครูจนต้องมีคนมาหามออกไป

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 มีตำรวจจำนวนประมาณ 150-200 คน เริ่มทยอยเข้ามาตั้งแต่เวลา 7:30 น. และเข้าพากันเข้าพักบนโรงยิมคาดว่าน่าจะมารับมือกับม็อบในเย็นวันนั้น

กลุ่มตำรวจ สูบบุหรี่กันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ที่เข้ามาถึงบนโรงยิม ส่งกลิ่นเหม็นอบอวลเต็มพื้นที่โรงยิม เครียดหรือของขาดอย่างไรไม่ทราบแต่มาถึงก็อัดๆกันทีหลายๆมวน บริเวณนั้นก็คือคลุ้งกลิ่นบุหรี่ไปเลย

เวลาประมาณ 9-10 น. ตำรวจจำนวนนึงลงมาสูบบุหรี่บริเวณซิงค์ล้างจานหน้าห้องพักครูเก่า หรือหลังตึกมัธยม ส่งกลิ่นเหม็นไปจนถึงห้องเด็กมัธยมที่นั่งเรียนอยู่ จนเด็กมัธยมทนกลิ่นเหม็นไม่ไหว ต้องเดินไปบอกให้ตำรวจไปสูบบุหรี่บริเวณอื่น

กลิ่นบุหรี่ก็ยังส่งกลิ่นอย่างต่อเนื่อง ผมอยากถามว่า ตอนนั้นคุณครูหายไปไหนกันหมด ผมเชื่อว่าครูหลายคนรู้ แต่ไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง ไม่ยอมเข้าไปตักเตือนกลุ่มตำรวจที่ไร้จิตสำนึกพวกนี้ ที่สูบบุหรี่อย่างสบายใจในโรงเรียน บริเวณที่เด็กกำลังเรียนหนังสือส่งผลต่อการเรียน เขาเหม็นจนเขาไม่เป็นอันเรียน บ้างคนเป็นภูมิแพ้ ก็ไอแค่กๆ

ผมต้องการตั้งคำถามโดยตรงกับตำรวจที่เข้ามาพักอาศัยในโรงเรียน คุณมีสิทธิ์อะไรมาสูบบุหรี่บริเวณโรงเรียน คุณได้รับอภิสิทธิ์อะไรมา พวกคุณไม่เป็นตัวอย่างให้กับเด็กนักเรียนเลย ไร้สามัญสำนึกมาก ทำงานไม่คุ้มภาษี มาก็มาสร้างแต่มลภาวะ

ส่วนครู ท่านรู้อยู่แก่ใจว่ามีตำรวจมายืนสูบบุหรี่ในโรงเรียน รู้อยู่แก่ใจว่ามันผิดเป็นมลภาวะทางอากาศ เห็นก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่เห็น รู้ก็ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ ไม่ละอายใจบ้างเลยหรือ จนเด็กนักเรียนหญิงทนไม่ไหวต้องออกมาตักเตือนกลุ่มตำรวจเอง จนผมทนไม่ได้ต้องออกมาตั้งคำถามเอง นี่มันเกิดอะไรขึ้นในราชวินิต ระบบขี้เกรงใจมันฝั่งรากลึกไปถึงส่วนไหนของครู

พอผมออกมาตั้งคำถามยังไม่ทันพูดจบ ก็รับไม่ได้ ต้องกรูกันมาห้ามไม่ให้พูด เสนอให้ผมไปคุยในห้องส่วนตัว ก็มันเป็นเสียแบบนี้ นอกจากครูจะไม่กล้าพูดเรื่องนี้แล้ว ยังมาขี้เกรงใจตำรวจ อ้างว่าผมทำไม่ถูกขั้นตอนของข้าราชการ ผมไม่ใช่ข้าราชการ ผมไม่ได้ทำงานกินเงินภาษีราษฎร ผมเป็นนักเรียน

สิ่งที่นักเรียนอย่างผมทำได้คือลากเอาลำโพงออกมาพูด ออกมาตั้งคำถามกับสิ่งที่กลุ่มตำรวจพวกนี้ได้ทำไว้ สิ่งตอบแทน ที่ผมได้รับกลับมาคือ ครูจะแจ้งความจับผม เพราะบอกผมลักขโมยลำโพง แบบนี้ก็ได้

ครูไร้ซึ่งศักดิ์ศรีไปแล้ว รณรงค์กันแทบตายว่าอย่าไปสูบบุหรี่ มันไม่ดี รณรงค์กันให้ควั่กว่า ถ้าครูเห็นใครสูบจะไล่ออก ประทานโทษ กลุ่มตำรวจกลุ่มนี้สูบ กล้าไล่มั้ย มีใครกล้าตักเตือนมั้ย ไม่อายเด็กบ้างหรือมันแสดงให้เห็นถึงความสองมาตรฐาน ว่าครูไม่แน่จริง เก่งแต่กับเด็ก เก่งแต่กับนักเรียน สอนเก่ง แต่พอสถานการณ์จริงแหยกันหมด แล้วแบบนี้จะสอนใครได้

ตอนที่ผมพยามตั้งคำถามกับตำรวจ ยังไม่ทันได้พูดจบก็มีครูมาขัดเสียก่อน ซึ่งก็เป็นครูประจำชั้นผมเอง ผมพยายามเจรจาอยู่ว่า สิ่งที่ผมทำแค่อยากพูด อยากตั้งคำถาม มันอาจจะต้องพาดพิงบ้าง เพราะคู่กรณี ก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ไม่ทันไร ก็มีประธานสายชั้นมัธยม เดินเข้ามาแย่งไมค์ออกจากมือ เขาไม่ได้หวังเข้ามาคุยกับผม เขาหวังอย่างเดียว คือหวังให้ผมเงียบปากตรงนั้น

เขาพยามสักพักที่จะมาแย่งไมค์ ผมคิดว่าเขาคงกลัว กลัวว่าผมจะพูดอะไร กลัวว่าผมจะพูดจนเขาต้องเดือดร้อน เขาไม่ได้ถามว่า ผมกำลังทำอะไร ไม่ได้ถามว่าผมออกมาพูดทำไม ไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่าตำรวจทำอะไรผิด เขาหวังเพียงแต่จะทำให้ผมปิดปากเงียบให้ได้ ซึ่งต่างจากครูที่ผมกำลังเจรจาอยู่ก่อนอย่างสิ้นเชิง นั่นทำให้บทสนทนาที่กำลังเจรจากลายเป็น ครู ที่กำลังยืนเถียงกับนักเรียน ระหว่าง “มึงจะพูดทำไม” กับ “แล้วทำไมกูถึงพูดไม่ได้”

จนแล้วจนรอด ยืนเถียงกันสักพักก็มีรุ่นน้องดึงตัวออกมา ผมก็พยามสงบสติอยู่ครู่นึง ผมยกไมค์ยกลำโพงมากับมือ มาตั้งคำถามกับการกระทำที่ไร้จิตสำนึกของตำรวจที่มาอาศัยพักโดยเฉพาะ โดนครูตอบกลับมาว่า จะแจ้งจับผมข้อหาว่า ผมลักขโมยลำโพง จะเรียกผู้ปกครองมาปรับทัศนคติ นี่คือสิ่งที่ตอบแทนผมกลับมา หลังจากพยามออกมาปกป้องเพื่อนนักเรียน มันน่าน้อยใจอยู่เหมือนกัน

ครูที่เป็นที่ปรึกษาก็โดนติเตียนไปด้วย หาว่าเกี่ยวข้อง หาว่าชักใยให้ผมออกมาพูด เรื่องนี้มันกลับกลอก แทนที่จะไปรุมประณามตำรวจที่มาสูบบุหรี่ ไม่เคารพเด็กนักเรียนสร้างมลภาวะ กลับกลายเป็นว่ามารุมติเตียนเด็กที่ออกมาตั้งคำถาม กับการกระทำของตำรวจ เอาเถอะ

ผมหวังว่าภายในอนาคตอันเร็วนี้ คุณครูโรงเรียนราชวินิต คงจะมีโอกาสแก้ตัว คงจะมีโอกาสดึงศักดิ์ศรีกลับคืนมา หลังจากวันที่ 14 ตุลา โดนฤทธิ์ของอำนาจเข้าเล่นงาน ครูเห็นอยู่ชัดๆ ว่า เขากำลังทำอะไร แต่ก็ไม่กล้าไปตักเตือน รู้ทั้งรู้ แต่ก็กลัวว่าฤทธิ์อำนาจจะเข้าเล่นงาน ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก กล้ามั้ยที่จะตักเตือนตรงๆ กล้ามั้ยที่จะเดินไปบอก กล้ามั้ยที่จะปกป้องลูกศิษย์ของครู เหมือนที่ผมพยามปกป้องเพื่อนของผมในวันนั้น หรือท่านกล้าอย่างเดียว กล้าที่จะเงียบ จนไร้ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นครูตลอดไป

ปล.ขอโทษที่เขียนลงช้า พอดีติดทำหน้าที่ประชาชน

แก้ไข

ผมได้รับร้องเรียนมาว่าบทความของผมนั้น ทำให้คุณครูโรงเรียนราชวินิตด่างพร้อยไปมาก ครูบางคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ มาอ่านก็พลอยเสียใจ เพราะบทความของผม

ผมมานั่งคิดดูว่าผมอาจจะตกหล่นบางอย่างไปบ้าง จริงๆ ครูที่นิ่งเฉยต่อการกระทำของตำรวจ มีไม่มาก ประมาณไม่กี่ 10 คน เท่านั้น

การที่ผมไปเหมารวมเรียกว่า ครูราชวินิต อาจจะเป็นการไม่ให้ความเป็นธรรม กับครูที่เขาดีอยู่แล้ว เขามั่นใจมาก บางท่านเดินมาบอกผมว่า “ถ้าครูอยู่ในเหตุการณ์นั้น ครูจะเดินเข้าไปตักเตือนตำรวจอย่างแน่นอน ” และผมเชื่ออย่างสุดหัวใจว่า ครูที่เดินเข้ามาบอกผม เขาซื่อสัตย์ต่อคำพูดตนเอง

แต่การจะผลักครูประมาณไม่กี่ 10 คน ออกไปว่า ไม่ใช่ราชวินิตก็ยังไงอยู่ ผมเขียนไปแล้วว่า ผมจะรอวันที่ครูไม่กี่ 10 คน นั้น ออกมาดึงศักดิ์ศรีตนเองคืน ผมยังมองเขาเหล่านั้นเป็นครูอยู่เสมอ แต่เป็นครูที่โดนฤทธิ์อำนาจเข้าเหยียบย่ำ

ฉบับแก้ไขใจความว่า ผมต้องขอโทษที่ดันไปเหมารวมทั้งโรงเรียน ทำให้ครูดีๆ ก็พลอยเดือดร้อน พลอยเสียใจไปกับบทความของผม แต่การจะผลักครูไม่กี่ 10 คนออกว่าไม่ใช่ราชวินิต ก็คงจะไม่เป็นธรรมกับครูทั้งไม่กี่ 10 คน

ดังนั้น ผมอยากให้ทุกคนรู้กันว่า ครูที่นิ่งเฉยกับการกระทำของตำรวจนั้นมีไม่กี่ 10 คนเพียงเท่านั้น และเป็นครูราชวินิตในบทความ ที่หมายถึงครูที่นิ่งเฉย ก็คือครูไม่กี่ 10 คนนี้

ครูดีๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ท่านอ่านบทความของผม ไม่จำเป็นต้องรู้สึกเจ็บซ้ำไป คนที่ต้องรู้สึกผิดเขาจะรู้สึกตัวอยู่แล้ว เขาจะร้อนรุ่ม

ส่วนการแก้ไขปัญหาของทางโรงเรียน ผมจะไม่ขอชี้แจงว่า โรงเรียนแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ไปอย่างไรแล้วบ้าง ถ้าใครอยากรู้ ก็เรียกร้องให้โรงเรียนออกหนังสือแถลงการณ์ให้มันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ใช่หน้าที่ผม ที่ต้องออกมาแก้ต่างให้กับโรงเรียน

ทางโรงเรียนจะปล่อยให้เรื่องนี้เงียบ ก็สุดจะแล้วแต่ จะออกหนังสือแถลงการณ์ ก็สุดจะแล้วแต่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook