บิ๊กจิ๋วออกหนังสืออัดเหลือง-แดงเกมเผด็จการ

บิ๊กจิ๋วออกหนังสืออัดเหลือง-แดงเกมเผด็จการ

บิ๊กจิ๋วออกหนังสืออัดเหลือง-แดงเกมเผด็จการ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บิ๊กจิ๋ว ผสมโรง ออกหนังสือ จวก 3 ปียึดอำนาจ ล้มเหลว ไม่สร้างประชาธิปไตย อัดทั้งเหลือง ทั้งแดง ที่แท้เกมเผด็จการ ต่อสู้ไปสุดท้ายได้แค่กระดาษรธน.แผ่นเดียว

(22ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้จัดทำสมุดปกขาว หัวข้อ "ความจงรักภักดี การสร้างความสามัคคีแห่งชาติ ทหารกับการเมือง" ซึ่งได้มีการนำมาแจกจ่ายที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล โดยมีความหนา 40 หน้า ซึ่งเนื้อหาในสมุดปกขาวในหัวข้อ ความจงรักภักดี ได้มีการอัญเชิญพระราชหัตถเลขาที่ทรงสละราชสมบัติของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 7 มาเป็นบทเริ่มต้นของหนังสือ

ตอนหนึ่งของหนังสือระบุว่า ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่มีผลต่อการดำรงอยู่ของชาติทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม โดยการสร้างประชาธิปไตยนั้น จึงมีบทบาทยิ่ง ทั้งในอดีตที่ผ่านมา และปัจจุบัน รวมทั้งอนาคต ดังเช่น กองทัพได้รับสั่งเกล้าฯ ในพระบรมราโชบายสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตย ของ ร.7 มาประยุกต์เข้ากับสถานการณ์สงครามการเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เป็นนโยบาย 66/23 คือ เอาประชาธิปไตยเข้าต่อสู้เอาชนะเผด็จคอมมิวนิสต์ และเผด็จการรัฐสภาที่เป็นแนวร่วม สามารถยุติสงครามปฏิวัติลงได้ และนำคนไทยเข้าร่วมกับ พคท. กลับมาเข้าร่วมพัฒนาชาติไทย ด้วยประชาธิปไตยระดับสูง คือขยายเสรีภาพของบุคคล ขยายอธิปไตยของปวงชน เพื่อบรรลุการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งการดำรงของชาติและความเจริญของชาติในทุกด้านขึ้นอยู่กับพระบรมราโชบาย สถาปนาปกครองแบบประชาธิปไตย ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้รับการปฏิบัติให้ปรากฏจริงเมื่อใด ดังเช่น ข้อเสนอการสร้างประชาธิปไตยโดยการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลเฉพาะกาล ในสถานการณ์ปัจจุบัน นั่นเอง

ขณะที่ในหัวข้อ การสร้างความสามัคคีแห่งชาติ พล.อ.ชวลิต เขียนไว้ในสมุดปกขาวว่า ณ ปัจจุบันนี้ ชาติบ้านเมืองของเรามีปัญหาเรื่องความสามัคคีที่ยังแก้ไม่ตก และยิ่งนับวันจะรุนแรงขึ้นตามลำดับมีสภาพ "กลียุค"ตามพระราชดำรัสในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชาติล่มจมเพราะไม่สามัคคี ดังนั้น จึงต้องรีบรับใส่เกล้าฯ สร้างความสามัคคีเพื่อให้ออกจากกลียุค รอดพ้นจากความล่มจมของชาติ อันเป็นภารกิจแห่งชาติที่สำคัญและเร่งด่วนที่สุด

การแตกสามัคคีของคนในชาติสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นสาเหตุให้เสียกรุงแก่พม่าข้าศึก ในขณะเดียวกันการกู้กรุงศรีอยุธยาทั้ง 2 ครั้งต้องสร้างความสามัคคี จึงกอบกู้ชาติได้สำเร็จ ดังนั้น ความแตกสามัคคี คือ เงื่อนไขของความพ่ายแพ้ แต่ความสามัคคี คือ เงื่อนไขของชัยชนะ แม้นเรามีทุกอย่างพร้อมแล้ว แต่ขาดความสามัคคีก็ไม่มีทางได้รับชัยชนะ

"การรัฐประหารของ รสช. และ คมช.มีเจตนารมณ์ประชาธิปไตยแต่กลับใช้อำนาจที่ยึดมาได้นั่นไปสร้างรัฐธรรมนูญ ไม่สร้างประชาธิปไตย จึงประสบความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหา เพราะเจตนารมณ์ขัดกับนโยบาย กล่าวคือมีเจตนารมณ์ประชาธิปไตยแต่มีนโยบายสร้างรัฐธรรมนูญ"

ความขัดแย้งระหว่างคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงนั้น ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับประชาชน แต่เป็นความขัดแย้งภายในของพวกเผด็จการ คือ เผด็จการขัดแย้งกัน ประชาชนไม่ขัดแย้งกัน เพราะเครื่องแสดงถึงความขัดแย้งภายในระบอบเผด็จการคือลัทธิรัฐธรรมนูญ ฝ่ายหนึ่งเอารัฐธรรมนูญ ปี 50 พี่น้องเสื้อเหลือง เสื้อแดง เป็นประชาชนตัวจริง ทั้ง 2 ฝ่าย เพียงแต่เข้าใจผิดว่า ลัทธิรัฐธรรมนูญ คือ ลัทธิประชาธิปไตย จึงเข้าร่วมการเคลื่อนไหว

โดยเสื้อเหลืองต่อสู้โค่นล้มระบอบเผด็จรัฐสภาเพื่อประชาธิปไตยสร้างด้วยรัฐธรรมนูญ ขณะที่เสื้อแดงต่อสู้โค่นล้มระบอบเผด็จการรัฐประหารเพื่อประชาธิปไตยสร้างด้วยรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน สุดท้ายก็ได้ประชาธิปไตยในแผ่นกระดาษไม่ได้ประชาธิปไตยในแผ่นดิน ส่วนการปกครองจริงของประเทศคือระบอบเผด็จการรัฐสภา จึงดำรงอยู่ต่อไปไม่รู้จบ ปรากฏการณ์ม็อบเหลืองและแดงคือปรากฏการณ์ของเผด็จการไม่ใช่ประชาธิปไตย ทั้งที่เจตนารมณ์อันเป็นธาตุแท้ของเสื้อเหลืองและแดงคือประชาธิปไตยอันเดียวกัน

ส่วนในหัวข้อทหารกับการเมือง พล.อ.ชวลิต ระบุในปกขาวว่า ยุทธศาสตร์ทหารย่อมขึ้นต่อยุทธศาสตร์การเมือง ซึ่งยุทธศาสตร์การเมืองของชาติ คือ เอกราชและประชาธิปไตย

" เพราะกองทัพเป็นของชาติหรือของประชาชน มิใช่เป็นของบุคลลใดหรือของคณะบุคคล เหมาเจ๋อตุง ผู้ก่อตั้งกองทัพแดง ได้กำหนดไว้ถูกต้องว่า อำนาจรัฐเกิดจากปลายกระบอกปืน และถ้ามีการเมืองถูก มีทหารคนเดียว เหมือนมีทหารเป็นกองทัพ แต่ถ้ามีการเมืองผิด แม้มีทหารทั้งกองทัพ ก็เหมือนไม่มีทหารสักคน กองทัพไทย ต้องยกระดับเป็นกองทัพแห่งประชาธิปไตย รักษาเอกราชและประชาธิปไตย ไม่ยอมรับนโยบายของรัฐบาลที่เป็นเผด็จการ"

ผมเป็นผู้ยกร่างนโยบาย 66/23 และได้ออกคำสั่ง สร.ว่าด้วยนโยบายต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ โดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นผู้ลงนามในฐานะนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 เม.ย.2523 ซึ่งเป็นรูปของนโยบายแห่งชาติ โดยมีกองทัพเป็นกลไกหลักในการปฏิบัติตามที่รัฐบาลได้กำหนดขึ้น ไม่ใช่นโยบายของกองทัพ แต่เป็นนโยบายแห่งชาติ ที่รัฐบาล กองทัพและทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตลอดไปจนกว่าจะบรรลุความสำเร็จ เป็นหลักสองด้าน คือ นโยบายเป็นนโยบายแห่งชาติและด้านกฎหมาย เป็นกฎหมายสูงสุด เมื่อปฏิบัตินโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 1 ยุติสงครามกลางเมืองได้อย่างดงามแล้ว ด้วยการขยายเสรีภาพบุคคลระดับหนึ่ง เช่น งดใช้ พ.ร.บ.การกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ที่เป็นกฎหมายเผด็จการ เน้นการเจรจาอย่างสันติ เพื่อร่วมกันสร้างประชาธิปไตย หรือ "ปฏิวัติประชาธิปไตย" โดยไม่ฆ่า ไม่ด่า ไม่จับ

"เมื่อสงครามการเมืองยุติลงโดยพื้นฐานแล้ว ทางรัฐบาลโดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 65/25 เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2525 แต่ยังขาดรูปธรรมสุดท้ายของการสร้างประชาธิปไตยที่แจ่มแจ้งเพียงพอ เช่น รัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลเฉพาะกาล และนโนบายสร้างประชาธิปไตย เมื่อประกาศ สร. 65/25 แล้ว ก็ปฏิบัติไม่ใคร่จะได้ จึงยังคงปฏิบัตินโยบาย 66/23 ให้สำเร็จไม่ได้จนบัดนี้ และตราบใดที่ยังไม่สร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จตราบนั้น นโยบาย 66/23 ก็ยังคงจำเป็นอย่างที่สุดต่อประเทศและประชาชน ไม่ว่าจะอยู่ในเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น"

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook