แม้ว ซัดปฏิวัติ19ก.ย. มีเศรษฐีใหม่ยศ"พลเอก"ไม่กี่คน

แม้ว ซัดปฏิวัติ19ก.ย. มีเศรษฐีใหม่ยศ"พลเอก"ไม่กี่คน

แม้ว ซัดปฏิวัติ19ก.ย. มีเศรษฐีใหม่ยศ"พลเอก"ไม่กี่คน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ทักษิณ เปรียบ 19 กันยา เป็น "นิยายการเมือง" น่าขนลุก

เมื่อเวลา 15.40 น. วันที่ 22 กันยายน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิงก์มาร่วมงานเสวนาของพรรคเพื่อไทย โดยพูดถึง 3 ปีของการรัฐประหารว่า ต้องขอบคุณทุกคนที่ชวนกันมารำลึกถึง 3 ปีการรัฐประหารว่าได้อะไรหรือเสียอะไร ซึ่งที่เราได้มาจากการรัฐประหารนั้นยังไม่เห็น และที่ได้เห็นจริงๆคือยังไม่มีสิ่งที่เราได้ แต่การเสียสิ่งที่ดีๆ ไปนั้นมีอย่างแน่นอน ซึ่งสิ่งที่อยากพูดวันนี้คือ ถ้าตนยังอยู่และ ไม่มีการปฏิวัตินั้นประเทศจะมีหน้าตาอย่างไร ซึ่ง 3 ปีที่มีการปฏิวัติแล้วเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย มีการทำให้นายกรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งไปแล้วถึง 2 คน มันเป็นอะไรที่ยิ่งกว่าเขียนนิยาย เป็นนิยายการเมือง ที่น่าขนลุกขนชัน สำหรับการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และเราก็เสียเวลามามั่วอยู่กับการเมืองที่มีการสาดโคลน


ซัด รัฐประหาร ได้แค่เศรษฐีใหม่ ยศ"พลเอก"ไม่กี่คน

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ปกติประเทศประเทศประชาธิปไตยที่ศิวิไลนั้นจะแข่งกันทางความคิด โดยประชาชนเป็นผู้ตัดสินตามระยะเวลาที่กำหนดและมีระบบถ่วงดุล ซึ่งทุกระบบจะยึดไปที่ประชาชนไม่ใช่กลุ่มบุคคลบางคน ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมีการรัฐประหารเกิดขึ้นกับประเทศไทย ซึ่งหลังจากโดนปฏิวัติตนไปญี่ปุ่น แล้วมีนักลงทุนมาบอกกับตนว่าประเทศไทยเหมือนหักหลังเขา เพราะทำเหมือนจะเป็นประชาธิปไตยที่แมดชัวร์ แต่กลับมามีการปฏิวัติ แต่ถ้าถามว่าคนไทยได้อะไรบ้างนั้น ก็ต้องบอกว่าได้เศรษฐีใหม่มาไม่กี่คน แล้วส่วนใหญ่จะเป็นยศพลเอก ได้ทหารที่แข็งแกร่งขึ้นมีอาวุธมากขึ้น แต่ก็ไม่หมายความว่ าจะสามารถแก้ไขปัญหาภาคใต้ได้ และได้รัฐธรรมนูญ 2550 ที่ไม่เคารพอำนาจประชาชน ได้รัฐบาลที่อ่อนแอ ไม่สามรถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา

"นอกจากนี้ ยังได้หนี้ก้อนโต ที่จะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่มีการกระตุ้นจริงๆ และได้ความแตกแยกที่หนักกว่าเดิม มากขึ้นกว่าเดิมเยอะ รวมถึงได้กระบวนการยุติธรรมที่ 2 มาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งล่าสุดมีคคนมาบอกว่าจะทำเสื้อยืดสีขาวขายโดยมีตัวหนังสือสีเหลืองเขียนว่า "เมิงทำอะไรก็ไม่ผิด" แล้วข้างล่างเป็นสีแดง เขียนว่า "กูทำอะไรก็ผิด" นอกจากนี้ยังได้คนจนมากขึ้น และได้เห็นข้อกล่าวหาที่ไม่จงรักภักดีมาใช้กับตน แต่ไม่จริง รวมทั้งในขณะที่ทหารแข็งแรงขึ้น แต่ตำรวจอ่อนแอลง ที่สำคัญคือการโกหกยังได้ผล ซึ่งก็ล่าสุดก็ใส่ร้ายว่า ตนเป็นมะเร็งและใส่วิกผม" (พ.ต.ท.กล่าวพร้อมกับเอามือดึงผมตัวเอง)


ปูดรบ.หากินทุกกระเบียดนิ้ว เตรียม"ทุน"เลือกตั้ง ส่งสัญญาณอยู่ไม่นาน

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า วันนี้ ทำไมคนเสื้อแดงจึงมากขึ้นทุกวัน และผู้เรียกร้องประชาธิปไตยส่วนใหญ่มาจากคนหาเช้ากินค่ำ มาจากคนรากหญ้า โดยจะเห็นได้ชัดว่าประชานเริ่มเห็นจากการปฏิวัติว่ารัฐธรรมนูญ 40 นั้นกินได้ทำให้รู้ว่าภาษีถูกใช้เพื่อเขาและการพัมนาประเทศอย่งจริงจัง จึงอยากได้รัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยและเข้มแข็ง ไม่ใช่รัฐบาลที่ไปทุบเขามา ไปปล้นเขามา แล้วทหารมาช่วยจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งประชาชนอยากได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของเขา และทำตามสัญญาที่ให้กับเขาได้เขาก็เลือกคนนั้น นี่คือประชาธิปไตยที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง แต่วันนี้มันเปลี่ยนไปเยอะ เพราะมีนักธุรกิจ มาบอกกับตนว่ารัฐบาลนี้หากินทุกกระเบียดนิ้ว ทุกที่ ทุกหน่วย มองดูแล้วมันเป็นสัญญาณของการเมืองที่อ่อนแอ การเมืองที่ไม่รู้เมื่อไรจะออกได้ การเมืองที่ประชาชนไม่เอาแล้ว ก็เลยเป็นการเมืองที่นักการเมืองมุ่งหาประโยชน์ไปเป็นทุนเลือกตั้ง

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ครั้งหนึ่ง น.พ.ประเวส วะสี ราษฎรอาวุโส คิดอยากแก้รัฐธรรมนูญตอนโน้น เพื่อภาวะผู้นำเกิดแก่นายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ไขปัญหาประเทศและแข่งขันได้ ซึ่งเป็นการคิดถูก พูดถูกและทำถูก แต่เมื่อรัฐบาลไทยรักไทยแข็งแรงขึ้นก็เกิดความกลัว เพราะเป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยเลยและไม่น่าจะมีอีกแล้ว แต่ก็อาจจะเป็นอีกได้หากพรรคเพื่อไทยถูกกลั่นแกล้งมากๆ ถูกกระทำทุกรูปแบบทั้งอำนาจรัฐ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม จึงอยากจะให้ทุกคนมองว่าการคืนอำนาจให้ประชาชนแล้วช่วยกันทำให้ประชาชน เพราะตามหลักประชาธิปไตย ทฤษฎีว่าด้วยการเมืองเพื่อประชาชนทั้งหลายนั้นบอกว่าคนที่มาใช้อำนาจนั้นใช้อำนาจแทนประชาชน เพื่อประโยชน์ประชาชน แต่วันนี้เรากำลังมาใช้อำนาจเพื่อตัวเองและพวกพ้อง

ตีปี๊บตั้งใจวางมือการเมือง26 ก.ค.52 ตำแหน่ง"นายกฯสมัย2"

"หากผมยังอยู่ตามกติกาผมจำได้ว่าผมชนะการเลือกตั้งปี 2548 และจะอยู่ถึงปลายปี 2552 และเมื่อครบเทอม 52 ผมไม่เล่นการเมืองแล้ว ผมจะวางมือจริงๆ เพราะมั่นใจว่า 4 ปีซ่อม 4 ปีสร้างนั้นทำได้ และเป็นการสร้างประเทศไทยวางอนาคตไว้กับลูกหลาน และมั่นใจว่าพอแล้ว เพราะ 8 ปีที่ทำงานเผาผลาญพลังงานของตัวเองไปมากมายแล้ว และตั้งใจจะไม่อยู่ถึงวันสุดท้ายของการเป็นนายกฯด้วย กะว่าวันเกิดผม 26 กรกฎาคมที่ผ่านมา จะเลี้ยงขอบคุณญาติพี่น้องและทุกคนที่ทำเนียบ แล้วจะขึ้นไปห้องทำงานเพื่อเขียนใบลาออก ที่ได้รับใช้บ้านเมืองมาพอสมควรแล้วก็เปิดโอกาสให้คนรุ่นหลัง โดยจะให้ใครคนใดคนหนึ่งในพรรคไทยรักไทย ขึ้นมารักษาการจนครบเทอมแล้วเลือกตั้งกัน สาบานได้ และได้พูดกับรัฐมนตรีสมัยนั้นบางคนแล้ว ผมตั้งใจไว้อย่างนั้นจริงๆ ผมไม่ได้จะบ้าจะอยู่ต่อไป เพราะการเมืองทำงานมันเหนื่อย" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ถามว่าวันนี้ตั้งใจกลับไปเป็นนายกฯหรือไม่ก็อยู่ที่ประชาชนว่าจำเป็นไหม ถ้าไม่จำเป็นก็อยากใช้ชีวิตปั้นปลายก็อยากใช้ชีวิตที่สงบสุบ แต่ถ้าจะเหนื่อยก็ขอเหนื่อยให้คนที่เคยเหนือยให้ตน อย่างคนเสื้อแดงบางคนก็ไม่ได้มีฐานะอะไรก็ยังมาชุมนุมกัน บางคนขายที่ดินเอามาเป็นค่ารถก็รู้สึกตื้นตันมา เมื่อประชาชนมีน้ำใจกับตนก็ต้องนึกถึง ซึ่งตอนนั้นเคยประกาศว่าปี 52 มั่นใจว่าความยากจนจะหายไป กะว่าจะใช้เงิน 2.5 แสนล้าน 4 ปีแก้ปัญหาความยากจน เพราะที่อาจสามารถโมเดล จ.ร้อยเอ็ด ทำให้เห็นปัญหาทั้งหมดแล้วว่าจะแก้ไขอะไรบ้าง และตั้งใจจะทำเมกกะโปรเจค 1.2 ล้านล้านบาทโดยจะเชิญนักธุรกิจและชาวต่างชาติมาทำให้ โดยเราไม่ต้องจ่ายอะไรสักบาท ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำ ถนน จราจร รถไฟฟ้าที่อยู่อาศัยของคนที่มีรายได้น้อย จัดสรรที่ดินทำกินเตรียมไว้ทั้งหมดใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้เสร็จเร็ว โดยไม่ใช่เงินสักบาทหนึ่ง แล้วเอาสินค้าไปผ่อนชำระใช้ โดยเป็นความพยายามที่จะทำและจะเอาจริง แต่มีปัญหาทางการเมืองเสียก่อนซึ่งน่าเสียดายมาก เพราะหลายๆ อย่างตั้งใจว่าจะพัฒนาให้ดี

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า แต่ตนก็เห็นใจรัฐบาลที่ทำอะไรไม่ค่อยได้ เนื่องจากต้องแก้ปัญหาการเมือง เพราะไม่มีเสถียรภาพ กับแค่การตั้ง ผบ.ตร. คนเดียวก็ยังตั้งไม่ได้ เพราะมีการต่อรองกันของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเป็นปัญหามานาน แต่แก้ไขได้ด้วยรัฐธรรมนูญ 40 แต่เราไม่ชอบที่จะเดินกลางๆ พอไปทางซ้ายก็ไม่ชอบแล้ววิ่งไปกาบขวา พอจะไปทางขวาก็วิ่งไปกาบซ้าย ซึ่งไม่มีความพอดี ไม่เคยคิดว่านั่งกลางๆจะเป็นอย่างไร

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook