สุขุมพันธุ์ วอนกรมศุลฯ ชะลอยึดรถดับเพลิงทอดตลาด

สุขุมพันธุ์ วอนกรมศุลฯ ชะลอยึดรถดับเพลิงทอดตลาด

สุขุมพันธุ์ วอนกรมศุลฯ ชะลอยึดรถดับเพลิงทอดตลาด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อ้างอยู่ระหว่างการฟ้องร้องชั้นศาล ขณะเดียวกันรอป.ป.ช.ตอบกลับเห็นด้วยหรือไม่ นำคดีขึ้นอนุญาโตตุลาการ ที่กรุงปารีส คาดต้องใช้เงินกว่า 700 ล.

แหล่งข่าวจากกรมศุลกากร เปิดเผยเมื่อวันที่ 24 กันยายนว่า ที่กรมศุลกากรมีหนังสือแจ้งไปยังกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่าจะยึดรถดับเพลิงที่ กทม.จัดซื้อจากบริษัท สไตเออร์ เดมเลอพุค สเปเชียล ฟาร์ซอยห์ ประเทศออสเตรีย แต่มีปัญหาว่าการจัดซื้อดังกล่าวส่อว่าจะมีการทุจริต จึงยังไม่มีการชำระภาษี และจอดไว้ที่ท่าเรือแหลมฉบังนั้น เป็นขั้นตอนการทำงานปกติ นั่นคือสินค้าที่นำเข้ามาไม่เสียภาษีภายในเวลากำหนดคือ 2 เดือน 15 วัน จะต้องอายัดทรัพย์สินดังกล่าวและดำเนิการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งการเปิดประมูลขายทอดตลาด หรือการบริจาคให้กับหน่วยงานสาธารณกุศล โดยเป็นอำนาจของอธิบดีกรมศุลกากร ซึ่งขณะนี้ต้องรอคำสั่งของอธิบดีคนใหม่ที่จะเข้ามารับตำแหน่งในวันที่ 1 ตุลาคม

"ที่ผ่านมาเราจะสำรวจสินค้าที่ตกค้างที่ท่าเรือแต่ละจุด ซึ่งในส่วนของหน่วยงานราชการก็อาจจะล่าช้า แต่เมื่อพบว่ายังไม่มาชำระภาษีตามกำหนดเวลาก็ต้องอายัดทรัพย์สินไว้ก่อน แต่กรณีของ กทม.นั้นต้องรอดูว่าจะมีหนังสือตอบกลับมาว่าอย่างไร หากยืนยันว่าจะชำระภาษีก็สามารถผ่อนผันระยะเวลาที่จะนำทรัพย์สินออกประมูลหรือบริจาคได้" แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวกล่าวว่า กรณีที่ผู้นำเข้าสินค้าไม่ได้ชำระภาษีตามกำหนดเวลา ขั้นตอนการทำงานของกรมศุลกากรจะอายัดทรัพย์นั้นและพิจารณานำไปขายทอดตลาด เมื่อได้เงินจำนวนเท่าใดจะหักเป็นค่าภาษีที่ค้างชำระก่อน หลังจากนั้น หากมีเงินเหลือจะเป็นค่าเช่าสถานที่ และหากยังมีเงินเหลืออีกจะคืนเจ้าของทรัพย์สินไป แต่กรณีที่ประมูลได้น้อยกว่าภาษีที่ต้องชำระก็ถือว่าจบไป โดยไม่ต้องไปเรียกเก็บภาษีส่วนที่ขาดจากผู้นำเข้า เพราะส่วนใหญ่สินค้าที่ขายได้มักคุ้มกับภาษีที่ต้องจ่าย

ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการ กทม. กล่าวว่า ที่กรมศุลกากรทำหนังสือส่งถึงสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) กทม. ว่าเตรียมนำสินค้าทั้งหมดที่อยู่ในท่าเรือแหลมฉบังขายทอดตลาด เพราะสินค้าค้างอยู่ที่ท่าเรือนานกว่า 2 ปี คือตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2550 รวมถึง กทม.ยังคงค้างจ่ายค่าภาษีหน้าท่าประมาณ 117 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ได้ทำหนังสือชี้แจงถึงกรมศุลกากรเรียบร้อยแล้ว โดยขอให้ชะลอการดำเนินการ เพราะเรื่องอยู่ระหว่างการฟ้องร้องในชั้นศาล

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า ขณะนี้ กทม.ทำหนังสือไปถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้นำปัญหาความขัดแย้งเรื่องการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม.เข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งในสัญญาการซื้อขายระบุว่าหากเกิดข้อพิพาทจะต้องนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของอนุญาโตตุลาการเพื่อให้ ป.ป.ช.พิจารณา ทั้งนี้ กทม.มอบหมายให้สำนักงานกฎหมายและคดี ทำหนังสือและส่งเรื่องไปตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะนี้รอเพียงการตอบกลับของ ป.ป.ช.ว่าเห็นด้วยหรือไม่เท่านั้น

"ระหว่างนี้ กทม.ทำเรื่องขออนุมัติงบประมาณดำเนินการจากสภา กทม. แต่ยังไม่ทราบตัวเลขที่ชัดเจน เพราะอนุญาโตตุลาการจะคิดค่าใช้จ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ตามจำนวนมูลค่าที่ฟ้องร้อง แต่คาดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 700 ล้านบาท ในจำนวนนี้ไม่รวมค่าดำเนินการว่าจ้างทนาย" ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าว และว่า เนื่องจากการฟ้องร้องอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ มีขั้นตอน กลไก วิธีการนำเสนอที่นักกฎหมายของไทยอาจไม่คุ้นเคย ดังนั้น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องอาศัยนักกฎหมายจากต่างประเทศที่มีประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าว แต่จะมีการจ้างทนายคนไทยในการดำเนินการฟ้องคดีด้วย

พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าฯกทม. ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาข้อตกลงซื้อขายรถดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยของ กทม. กล่าวว่า ได้รับการประสานมาว่าภายในปลายเดือนตุลาคมนี้ ตัวแทนจากบริษัท สไตเออร์ เดมเลอพุค สเปเชียล ฟาร์ซอยห์ ประเทศออสเตรีย คู่สัญญาซื้อขายรถและเรือดับเพลิงกับ กทม. จะเจรจากับ กทม.หลังจากที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เดินทางไปพบกับนักกฎหมายต่างประเทศ และเจรจากับบริษัท เจเนอรัล ไดนามิกส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท สไตเออร์ฯ ขอให้ระงับการจ่ายค่างวดรถดับเพลิงงวดที่ 6 เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่ไม่เป็นผล

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook