สุขุมพันธุ์ วอนกรมศุลฯ ชะลอยึดรถดับเพลิงทอดตลาด
อ้างอยู่ระหว่างการฟ้องร้องชั้นศาล ขณะเดียวกันรอป.ป.ช.ตอบกลับเห็นด้วยหรือไม่ นำคดีขึ้นอนุญาโตตุลาการ ที่กรุงปารีส คาดต้องใช้เงินกว่า 700 ล.
แหล่งข่าวจากกรมศุลกากร เปิดเผยเมื่อวันที่ 24 กันยายนว่า ที่กรมศุลกากรมีหนังสือแจ้งไปยังกรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่าจะยึดรถดับเพลิงที่ กทม.จัดซื้อจากบริษัท สไตเออร์ เดมเลอพุค สเปเชียล ฟาร์ซอยห์ ประเทศออสเตรีย แต่มีปัญหาว่าการจัดซื้อดังกล่าวส่อว่าจะมีการทุจริต จึงยังไม่มีการชำระภาษี และจอดไว้ที่ท่าเรือแหลมฉบังนั้น เป็นขั้นตอนการทำงานปกติ นั่นคือสินค้าที่นำเข้ามาไม่เสียภาษีภายในเวลากำหนดคือ 2 เดือน 15 วัน จะต้องอายัดทรัพย์สินดังกล่าวและดำเนิการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งการเปิดประมูลขายทอดตลาด หรือการบริจาคให้กับหน่วยงานสาธารณกุศล โดยเป็นอำนาจของอธิบดีกรมศุลกากร ซึ่งขณะนี้ต้องรอคำสั่งของอธิบดีคนใหม่ที่จะเข้ามารับตำแหน่งในวันที่ 1 ตุลาคม
"ที่ผ่านมาเราจะสำรวจสินค้าที่ตกค้างที่ท่าเรือแต่ละจุด ซึ่งในส่วนของหน่วยงานราชการก็อาจจะล่าช้า แต่เมื่อพบว่ายังไม่มาชำระภาษีตามกำหนดเวลาก็ต้องอายัดทรัพย์สินไว้ก่อน แต่กรณีของ กทม.นั้นต้องรอดูว่าจะมีหนังสือตอบกลับมาว่าอย่างไร หากยืนยันว่าจะชำระภาษีก็สามารถผ่อนผันระยะเวลาที่จะนำทรัพย์สินออกประมูลหรือบริจาคได้" แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า กรณีที่ผู้นำเข้าสินค้าไม่ได้ชำระภาษีตามกำหนดเวลา ขั้นตอนการทำงานของกรมศุลกากรจะอายัดทรัพย์นั้นและพิจารณานำไปขายทอดตลาด เมื่อได้เงินจำนวนเท่าใดจะหักเป็นค่าภาษีที่ค้างชำระก่อน หลังจากนั้น หากมีเงินเหลือจะเป็นค่าเช่าสถานที่ และหากยังมีเงินเหลืออีกจะคืนเจ้าของทรัพย์สินไป แต่กรณีที่ประมูลได้น้อยกว่าภาษีที่ต้องชำระก็ถือว่าจบไป โดยไม่ต้องไปเรียกเก็บภาษีส่วนที่ขาดจากผู้นำเข้า เพราะส่วนใหญ่สินค้าที่ขายได้มักคุ้มกับภาษีที่ต้องจ่าย
ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการ กทม. กล่าวว่า ที่กรมศุลกากรทำหนังสือส่งถึงสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) กทม. ว่าเตรียมนำสินค้าทั้งหมดที่อยู่ในท่าเรือแหลมฉบังขายทอดตลาด เพราะสินค้าค้างอยู่ที่ท่าเรือนานกว่า 2 ปี คือตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2550 รวมถึง กทม.ยังคงค้างจ่ายค่าภาษีหน้าท่าประมาณ 117 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ได้ทำหนังสือชี้แจงถึงกรมศุลกากรเรียบร้อยแล้ว โดยขอให้ชะลอการดำเนินการ เพราะเรื่องอยู่ระหว่างการฟ้องร้องในชั้นศาล
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ กล่าวว่า ขณะนี้ กทม.ทำหนังสือไปถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้นำปัญหาความขัดแย้งเรื่องการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม.เข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งในสัญญาการซื้อขายระบุว่าหากเกิดข้อพิพาทจะต้องนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของอนุญาโตตุลาการเพื่อให้ ป.ป.ช.พิจารณา ทั้งนี้ กทม.มอบหมายให้สำนักงานกฎหมายและคดี ทำหนังสือและส่งเรื่องไปตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะนี้รอเพียงการตอบกลับของ ป.ป.ช.ว่าเห็นด้วยหรือไม่เท่านั้น
"ระหว่างนี้ กทม.ทำเรื่องขออนุมัติงบประมาณดำเนินการจากสภา กทม. แต่ยังไม่ทราบตัวเลขที่ชัดเจน เพราะอนุญาโตตุลาการจะคิดค่าใช้จ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ตามจำนวนมูลค่าที่ฟ้องร้อง แต่คาดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 700 ล้านบาท ในจำนวนนี้ไม่รวมค่าดำเนินการว่าจ้างทนาย" ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าว และว่า เนื่องจากการฟ้องร้องอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ มีขั้นตอน กลไก วิธีการนำเสนอที่นักกฎหมายของไทยอาจไม่คุ้นเคย ดังนั้น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องอาศัยนักกฎหมายจากต่างประเทศที่มีประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าว แต่จะมีการจ้างทนายคนไทยในการดำเนินการฟ้องคดีด้วย
พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าฯกทม. ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาข้อตกลงซื้อขายรถดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยของ กทม. กล่าวว่า ได้รับการประสานมาว่าภายในปลายเดือนตุลาคมนี้ ตัวแทนจากบริษัท สไตเออร์ เดมเลอพุค สเปเชียล ฟาร์ซอยห์ ประเทศออสเตรีย คู่สัญญาซื้อขายรถและเรือดับเพลิงกับ กทม. จะเจรจากับ กทม.หลังจากที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เดินทางไปพบกับนักกฎหมายต่างประเทศ และเจรจากับบริษัท เจเนอรัล ไดนามิกส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ บริษัท สไตเออร์ฯ ขอให้ระงับการจ่ายค่างวดรถดับเพลิงงวดที่ 6 เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่ไม่เป็นผล