รท.หญิง รุดให้การ มัด พล.อ.

รท.หญิง รุดให้การ มัด พล.อ.

รท.หญิง รุดให้การ มัด พล.อ.
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ประวิตร ให้ผบ.สส.สอบสวนคดีพล.อ.ข่มขืนเรือโทหญิง ด้านโฆษกกระทรวงกลาโหม บอกเรื่องนี้ต้องฟังหูไว้หู ต้องรอผลการสอบสวนของตำรวจก่อน อ้างเป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่เกี่ยวกับกองทัพ อาจารย์ธรรมศาสตร์ระบุถึงพล.อ.จะพ้นราชการไปแล้วคดีอาญาก็ต้องเดินหน้าต่อ จี้หน่วยงานต้นสังกัดรักษาเกียรติภูมิกองทัพ ระเบียบรัตน์ พาเรือโทหญิงเข้าไปให้ปากคำตำรวจอีกครั้ง พร้อมหลักฐานรูปถ่ายยืนยันความสัมพันธ์ครอบครัวผู้เสียหายและพล.อ. แฉพล.อ.เคยเป็นเจ้าภาพงานแต่ง งานเรือโทหญิงด้วย

จากกรณีอื้อฉาว เรือโทหญิงคนหนึ่งร้องเรียนกับนางระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช นายกสมาคมเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นและเป็นสุข กระทรวงมหาดไทย ว่าถูกนายทหารยศพลเอกสังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย ข่มขืนมานานกว่า 4 ปี และถูกรังควานมาตลอดให้ไปร่วมหลับนอนอีก ล่าสุดพล.อ.บังคับให้หย่ากับสามี จนทนไม่ไหวจึงเข้าร้องเรียน โดยนางระเบียบรัตน์นำเรือโทหญิงคนดังกล่าวเข้าร้องทุกข์ยื่นหนังสือถึงกระทรวงกลาโหม และกระทรวงมหาดไทย ให้เร่งดำเนินการกับพลเอกคนดังกล่าวก่อนจะเกษียณก่อนครบอายุราชการสิ้นเดือน ก.ย.นี้ ตามข่าวที่เสนอไปแล้ว

ความคืบหน้าในเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของกองบัญชาการทหารสูงสุด ตนส่งหนังสือดังกล่าวไปให้ผบ.สส.แล้ว เนื่องจากเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงและจะต้องดำเนินการสอบสวน กระทรวงกลาโหมไม่ได้มีหน้าที่ดำเนินการใดๆ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของการฟ้องร้องคดี ต้องว่ากันไปตามนั้น ถ้าหากมีความผิดทางด้านวินัยก็จะให้ทางผบ.สส.ดูแล

เมื่อถามว่ามี การกำชับไปยังนายทหารหรือไม่ว่าไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับลูกน้อง พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า สิ่งนี้ไม่ต้องกำชับ เป็นเรื่องของวิจารณญาณส่วนบุคคลและถือเป็นเรื่องส่วนตัว

พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องฟังหูไว้หู ทุกอย่างมีกระบวนการทางกฎหมาย รวมถึงมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพยานหลักฐานต่างๆ แต่เป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่เกี่ยวกับกองทัพ ทุกสังคมมีลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่จะมีเจตนาหรือมีอะไรแอบแฝงหรือไม่เป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักฐานและต้องฟังจากตำรวจและผู้ถูกกล่าวหาว่าจะชี้ แจงอย่างไร ขณะนี้เราฟังจากผู้เสียหายอย่างเดียว

เวลา 13.15 น. วันเดียวกัน นางระเบียบรัตน์และเรือโทหญิงผู้เสียหาย เดินทางมาที่ศูนย์ป้องกันการกระทำผิดต่อเด็กและสตรี สน.บางเขน พร้อมด้วยทนายความจากสมาคมเสริมสร้างครอบครัวฯ เข้าพบพ.ต.ท.พิเชษฐ์ ฟูสินไพบูลย์ รองผกก.สส. และพ.ต.ท.ปรีชา เอี่ยมพ่อค้า พงส. (สบ 3) เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม มีพนักงานสอบ สวนหญิงสอบปากคำ โดยก่อนเริ่มสอบสวนนางระเบียบรัตน์และเรือโทหญิงมอบกระเช้าดอกไม้ให้ตำรวจ เพื่อขอบคุณที่เร่งรัดดำเนินการ และจัดหาพนักงานสอบสวนหญิงมาสอบปากคำ

นางระเบียบรัตน์เปิดเผยว่า วันนี้ได้พาผู้เสียหายพร้อมทนายความมาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนเพิ่มเติม เป็นส่วนของคดีอาญา ส่วนการดำเนินการทางวินัยนั้นเนื่องจากทั้งสองฝ่ายเป็นข้าราชการ โดยเฉพาะผู้ถูกกล่าวหานั้นเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทางสมาคมจึงได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและผบ.สส. เพื่อขอความเป็นธรรม ตนต้องขอบคุณ พล.อ.ทรงกิตติ จักกา บาตร์ ผบ.สส. ที่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และขอขอบคุณสื่อมวลชนที่เสนอข่าวเรื่องนี้ ทำให้ผู้บังคับบัญชาได้รับทราบ ส่วนใครจะผิดจะถูกก็ให้ดำเนินการกันไป ขอให้สื่อมวล ชนช่วยกันติดตามเรื่องกันต่อไป

นางระเบียบรัตน์ยังกล่าวถึงกรณีมีผู้ ตั้งคำถามที่เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องดังกล่าวเพราะข้อเท็จจริงยังไม่กระจ่าง ว่า คงไม่มีผู้หญิงคนไหนเอาเรื่องที่ตัวเองต้องเจ็บปวดออกมาพูดให้สังคมได้รับ รู้ ตนเห็นว่าการออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมครั้งนี้เป็นการกรุยทางให้ผู้หญิง ที่อยู่ในมุมมืด ผู้หญิงที่ถูกกดขี่ทางเพศ ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชา กล้าออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเอง หากผู้หญิงรายใดต้องการจะให้สมาคมเข้าไปช่วยเหลือให้แจ้งมาได้ที่หมายเลข 1761 หรือ 0-2622-2220

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากเป็นข่าวออกไปแล้วมีโทรศัพท์เข้ามาต่อว่าหรือข่มขู่บ้างหรือไม่ นางระเบียบรัตน์ตอบว่า ไม่มีเลย แต่เมื่อวันที่ 23 ก.ย. มีโทรศัพท์เข้ามาหาสามีตนประมาณ 20 สาย พร้อมบอกว่าพลเอกคนที่ถูกร้องเรียนเป็นคนดี เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) และเป็นเพื่อนกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่สามีก็เล่าให้ฟังเฉยๆ ไม่เข้ามาก้าวก่าย หากพลเอกคนที่ถูกกล่าวหานั้นเป็นคนดีจริงจะได้เป็นโอกาสที่ได้พิสูจน์ตัวเอง

ต่อข้อถามที่ว่าสำหรับคดีนี้มีหลักฐานมากแค่ไหน นางระเบียบรัตน์กล่าวว่า สำหรับหลักฐาน ผู้เสียหายมีรูปถ่ายยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของผู้เสียหาย และครอบครัวของพลเอกที่ถูกกล่าวหา ว่ามีความสนิทสนม และครอบครัวผู้เสียหายให้ความเคารพเกรงใจเหมือนญาติผู้ใหญ่ พลเอกคนดังกล่าวเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานให้ผู้เสียหายกับสามี นอกจากนี้ยังมีหลักฐานอีกส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะจะเสียรูปคดี

ด้านเรือโทหญิง กล่าวว่า ขณะนี้สภาพจิตใจย่ำแย่มาก แล้วยังถูกโทรศัพท์โทร.มาข่มขู่ที่บ้าน และที่บ้านแม่ ที่ต้องออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ เพราะมีการข่มขู่ตนว่า หลังจากเลิกกันจะนำเรื่องดังกล่าวไปเปิดเผยให้สามีรู้ จึงนำเรื่องไปปรึกษาสามีก่อนจะเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด หลังจากเล่าให้ฟัง สามีบอกว่าจะร่วมต่อสู้ด้วยกัน โดยทางบ้านได้ให้กำลังใจมาตลอด ถ้าหลังจากนี้ตนหายตัวไป น่าจะเป็นการถูกอุ้ม ส่วนการที่เก็บเรื่องไว้มานาน เพราะก่อนหน้านี้นายพลคนดังกล่าวยังมีอำนาจอยู่สามารถที่จะทำอะไรก็ได้ ทำให้ขาวกลับเป็นดำได้ แต่ตอนนี้นายพลคนนี้หมดอำนาจแล้ว จึงออกมาเปิดเผย

" ในชีวิตไม่อยากให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น มันไม่ใช่สิ่งที่ดีกับตัวดิฉันและครอบครัว อยากให้สังคมได้รับรู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง โดยสามีได้บอกว่าหลังจากนี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด จะชนะหรือแพ้ต้องยอมรับ เพราะเป็นเรื่องจริง ดิฉันเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ จะสู้กับคนมีอำนาจก็แพ้อยู่แล้ว" เรือโทหญิง กล่าว

น.ส.มนัสนัน สไบยูโซป ทนายความสมาคมเสริมสร้างครอบครัว กล่าวว่า วันนี้ได้พาผู้เสียหายเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปาก คำเพิ่มเติม หลังจากได้เข้าแจ้งความเมื่อก่อนหน้านี้ หลังจากนี้ไปตำรวจจะนัดให้ผู้เสียหายไปชี้จุดเกิดเหตุ และนำพยานที่สำคัญมาให้การเพิ่มเติม หลังจากสมาคมออกมาเปิดเผยเรื่องราวก็ถูกข่มขู่ วันนี้ได้นำหลักฐานเป็นเทปที่ถูกข่มขู่ มามอบให้พนักงานสอบสวนด้วย

นางมาลี พฤกษ์พงศาวลี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ อดีตประธานโครงการสตรีและเยาวชนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การที่สังคมตั้งข้อสงสัยว่าทำไมฝ่ายหญิงเพิ่งออกมาร้องตอนนี้ก็สามารถตั้งคำ ถามได้ แต่ขอให้ดูข้อเท็จจริง เพราะผู้หญิงที่ถูกข่มขืนมีประเด็นของความอับอาย ก่อนออกมาเผชิญกับสังคมก็ต้องเผชิญกับคนในครอบครัวมาแล้ว ดังนั้น ขอให้เข้าใจธรรมชาติของเรื่องแบบนี้ ว่ามีความสลับซับซ้อนของปัญหา คนจะออกมาร้องเรียนต้องคิดมากว่าจะมาเผชิญสังคม การตั้งข้อสงสัยเชิงลบ ทำให้ผู้เสียหายหลายคนไม่ได้รับความเป็นธรรม หลายคนไม่ออกมาเลย ทำให้สังคมยิ่งปกปิดซ่อนเร้น ดังนั้น ต้องรับฟังข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก่อนไปตัดสินผู้หญิง

นางมาลี กล่าวว่า ส่วนผู้ถูกกล่าวหาเป็นนายทหารระดับพลเอก หากกระทำจริงมีความผิดทั้งวินัยและผิดกฎหมาย แม้จะขอเออร์ลี่รีไทร์ ไม่มีสถานภาพเป็นนายทหารแล้ว การเอาผิดวินัยอาจจะช้าเกินไป แต่การเอาผิดทางกฎหมายทำได้ตลอด เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบต่อสังคม เมื่อถูกกล่าวหาโดยมโนธรรมสำนึกคนที่ไม่รู้จะคิดว่าการลาออกจากราชการแล้ว เรื่องจะยุติ แต่ความจริงไม่ได้ยุติ ใครทำอะไรไว้ผลจะตามไปตลอด คนที่ทำเรื่องแบบนี้แสดงว่าแยกผิดชอบชั่วดีไม่ได้ ส่วนหน่วยงานต้นสังกัดคือกองบัญชา การกองทัพไทย เมื่อมีการร้องเรียนว่ามีนายทหารระดับพล.อ.กระทำผิดอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องเสื่อมเสียต่อหน่วยงาน ดังนั้น ต้องปกป้องหน่วยงานและคุณธรรมสังคมด้วย

"เรื่องนี้เป็นการใช้อำนาจ ตำแหน่งหน้าที่เอาเปรียบคนอื่น เป็นเรื่องคุณธรรมของหน่วยงานสถาบันด้วย เพราะพฤติกรรมของคนในหน่วยเป็นชื่อเสียงเกียรติภูมิหน่วย และมีหน้าที่ที่จะลุกมาดูแลปกป้องคุณธรรมสังคมด้วย เรื่องไม่ถูกต้องก็ต้องขจัดไป การที่นางระเบียบรัตน์ไปยื่นเรื่องให้ 3 หน่วย ทั้งนายกฯ รมว.กลาโหม และผบ.สส. ตรวจสอบเป็นเรื่องที่ดี เพราะเรื่องนี้เป็นการทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ผิดจริยธรรม" นางมาลีกล่าว

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook