บิ๊กตู่ ลั่น! ไม่ห่วงสถานะ-ไม่ยึดติดตำแหน่ง-ไม่หวงอำนาจ โอดลุงแก่แล้วอาจตามเด็กไม่ทัน
วันนี้ (11 พ.ย.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาและปาฐกถาในงานสัมมนา “ภาคธุรกิจไทยในวิถียั่งยืน” ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยทุกฝ่ายต้องร่วมกัน ลำพังรัฐบาลทำฝ่ายเดียวคงเดินหน้าไม่ได้ โลกวันนี้เปลื่ยนแปลงทุกวัน แนวทางที่ดีที่สุดคือสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ปัญหาทุกวันนี้ถูกเปรียบเทียบระหว่างคนรวยและคนจน จึงอยากให้ไปย้อนดูว่าที่ผ่านมาผ่านอะไรมาบ้าง ไทยโชคดีที่ภูมิศาสตร์ได้เปรียบ ใครๆ ก็อยากเดินทางมาประเทศไทย อาหารอร่อย รอยยิ้ม
ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่ได้ว่าใครผิดใครถูก ดีไม่ดีจะทำอย่างไร ไม่เช่นนั้นก็จะขัดแย้งกันอยู่อย่างนี้ ตนพูดมาตลอดว่าประชาชนเป็นศูนย์กลาง และวันนี้อะไรที่เป็นประโยชน์ลองเปิดดูบ้าง ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ไม่ใช่เปิดดูเฉพาะหัวข้อ แต่อยากให้เข้าไปดูเนื้อหารายละเอียด ไม่ใช่รับรู้อย่างเดียวแต่หัวข้อ ไม่งั้นก็ตีกันไม่เลิก
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า นักลงทุนอยากมาลงทุน แต่ยังตีกันไม่เลิกนักลงทุนก็ไม่กล้ามาลงทุน วันนี้ไม่ได้ห่วงสถานะตัวเอง ไม่ได้ห่วงในตำแหน่ง และไม่ได้อยากมีอำนาจ แต่ต้องการความเข้าใจและความร่วมมือ ซึ่งจะอยู่ถึง 100 ปีได้อย่างไร วันนี้หลายเรื่องเอามาพันกันจนมีปัญหาทุกเรื่อง ทั้งที่สิ่งดีๆ มีเยอะ พร้อมกล่าวว่าตนเองไม่ใช่ศัตรูกับสื่อ ไม่ได้จำกัดความคิด แต่ต้องระวังประเทศชาติจะวุ่นวายและมีปัญหา
ยอมรับกลัวติดคุก ต้องทำทุกอย่างตามกฎหมาย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงปัญหาต่างๆ ว่า ทุกอย่างมีขั้นตอนมีกฎหมาย ตนเองก็กลัวติดคุกแต่บางคนไม่กลัว กฎหมายเป็นส่วนสำคัญที่จะให้สังคมอยู่ร่วมกัน ปัญหามีไว้ให้แก้ อยากให้ไปดูต่างประเทศที่ในอดีตมีความขัดแย้งกันทั้งสงครามโลก ควรจะนำบทเรียนประวัติศาสตร์มาเรียนรู้และนำมาเป็นบทเรียน แต่ขอให้เอาไปเขียนเอาไปคิด แล้วไปรบกันในโซเซียล จึงหวังว่าเราจะไม่รบกันเอง
ทั้งนี้ ในการทำงานของรัฐบาล เปิดโอกาสให้ราชการเป็นคนคิดแผนเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรอง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบางอย่างหลุดรอดไปได้ แต่ยืนยันว่าการทำงานทำด้วยคณะทำงานซึ่งตน “ไม่ใช่ซูเปอร์แมน” ทำงานคนเดียวไม่ได้ โดยทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันเพื่อให้ประเทศชาติเข้มแข็ง
บอกคนรุ่นใหม่ "ลุงแก่แล้ว" อาจคิดตามไม่ทัน
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวเพิ่มเติมว่า เป้าหมายในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์คือ การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ไม่ใช่แค่คนในปัจจุบันแต่หมายถึงลูกหลานในอนาคตด้วย อะไรต้องรับฟังความคิดเห็นแล้วนำมาปฏิบัติ อะไรที่ทำไม่ได้ก็ต้องอธิบายและชี้แจงให้เข้าใจ อย่างที่ได้กล่าวถึงโครงการคนละครึ่งที่มีการเปิดให้ลงทะเบียนรอบเก็บตกเมื่อช่วงเช้าจนทำให้ระบบล่มว่า ประชาชนมีความพึงพอใจกับโครงการของรัฐ แต่เมื่อลง (ทะเบียน) ไม่ได้ ก็โทษว่ารัฐบาลแย่ อยากให้เข้าใจว่า AI ก็เหมือนคน เมื่อเข้ามามากๆ ก็ทำไม่ทัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยอมรับทุกอย่างได้
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังพูดถึงคนรุ่นใหม่ว่า ตนเข้าใจดีว่าเด็กสมัยนี้เป็นคนคิดไว เรียกร้องอยากได้สิ่งที่ดีกว่า แต่อยากให้ใคร่ครวญให้ดี เพราะกว่าจะมาถึงทุกวันนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ประเทศจะเจริญหรือไม่ขึ้นอยู่กับทุกคน ลุงแก่แล้วอาจคิดไม่ทันพวกเธอ