จักษุแพทย์เตือนตาแดงระบาด แนะล้างมือบ่อยๆ
ชี้ผู้ป่วยตาแดงเพิ่มสูง เตือนยาซื้อยาหยอดตาเอง อย่าหลงใช้น้ำนมหยอดตา ชี้เป็นความเชื่อผิดๆ อาจส่งผลตาดำอักเสบเป็นแผลถาวร ป่วยแยกตัว
เมื่อวันที่ 25 ก.ย. นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของโรคตาแดง ว่า สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้รายงานในรอบ 9 เดือนปีนี้ ตั้งแต่ 1 ม.ค.-14 ก.ย. 2552 พบผู้ป่วยแล้ว 64,816 ราย อัตราป่วยสูงสุดคือภาคใต้แสนละ 210 คน รองลงมาคือ ภาคเหนือ แสนละ 127 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แสนละ 80 คน และภาคกลาง แสนละ 68 คน ตลอดปี 2551 มีผู้ป่วยทั้งหมด 91,838 ราย โดยภาคใต้มีอัตราป่วยสูงสุด แสนละ 211 คน รองลงมาได้แก่ ภาคเหนือ แสนละ 198 คน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แสนละ 125 คน และภาคกลาง แสนละ 106 คน
"โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ พบผู้ป่วยโรคตาแดงมารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า เพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ วันละกว่า 20 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยเรียน ซึ่งมักพบอาการคออักเสบร่วมด้วย หากผู้ป่วยปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง โดยเฉพาะเด็กนักเรียนอาจนำไปแพร่ในโรงเรียน ทำให้กระทบต่อการเรียนการสอบได้" นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าว
นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าวว่า โดยปกติผู้ที่ป่วยด้วยโรคตาแดง อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ แต่หากยังมีอาการเคืองตาเหมือนมีทรายเข้าตา ตามัว อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนคือ ตาดำอักเสบ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจอย่างละเอียด และให้การรักษาที่เหมาะสม ที่สำคัญอย่าซื้อยามาหยอดตาเอง โดยเฉพาะยาหยอดตาที่ไม่รู้แหล่งที่มาหรือแหล่งผลิต หรือที่วางขายตามตลาดนัด รวมทั้งไม่ควรทำตามความเชื่อผิดๆ เช่น ใช้น้ำนมหยอดตา เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อถึงขั้นตาบอดได้
นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าวว่า สาเหตุของโรคตาแดงส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ติดต่อกันทางการสัมผัสน้ำตา ขี้ตาของผู้ป่วย อาการสำคัญคือ ตาแดง อาจมีเลือดออกที่เยื่อบุตาขาว ตาขาวบวม มีขี้ตาเป็นเมือกใสหรือเหลืองอ่อน น้ำตาไหล เคืองตา และอาจเจ็บบริเวณต่อมน้ำเหลืองที่ข้างหู โดยอาการจะลุกลามจากตาข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน บางรายอาจมีตาดำอักเสบ ทำให้เคืองตามาก และมีแผลที่ตาดำชั่วคราวได้ การป้องกันสามารถทำได้ง่ายๆ โดยการล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หลีกเลี่ยงการใช้มือแคะ แกะ เกาหน้าตา สำหรับผู้ที่กำลังป่วย แนะนำให้หยุดเรียนหรือหยุดงานอย่างน้อย 3 วัน ห้ามใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว แว่นตา ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน เป็นต้น