"นิโคล" เปิดใจเล่าทั้งน้ำตา ความรักที่ทำให้อกหักจนปางตาย เป็นรักแท้ที่เจ็บที่สุด

"นิโคล" เปิดใจเล่าทั้งน้ำตา ความรักที่ทำให้อกหักจนปางตาย เป็นรักแท้ที่เจ็บที่สุด

"นิโคล" เปิดใจเล่าทั้งน้ำตา ความรักที่ทำให้อกหักจนปางตาย เป็นรักแท้ที่เจ็บที่สุด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นักร้องดัง นิโคล เทริโอ หรือ นิกกี้ ควงลูกชายสุดที่รัก ทิกเกอร์ มาเป็นแขกรับเชิญสุดพิเศษใน รายการ Club Friday Show ผลิตโดย เช้นจ์2561 ที่ นิโคล ยอมให้ล้วงลึกเรื่องราวชีวิตรักที่เล่าให้ฟังทั้งน้ำตา ถึงความรักครั้งหนึ่งที่เข้ามาทำให้ตัวเองอกหักจนปางตาย เพราะเห็นจะจะคาตาว่าคนที่ตัวเองคบจูงมืออยู่กับผู้หญิงคนอื่นด้วยตัวเอง ขนาดมีคนเตือนความเจ้าชู้มาเพียบ แต่ก็ไม่ฟังจนได้เห็นด้วยตาตัวเอง ยอมรับเป็นรักแท้ที่เจ็บที่สุดในชีวิต พร้อมเปิดใจชีวิตแต่งงาน คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต

เรียกว่าชีวิตตั้งแต่เดินเข้ามาในวงการ ก็โดนคนเคยปรามาสไว้ว่าเทปสองสามแสนก็บุญมากแล้ว ?
นิโคล : “ใช่ค่ะ ตอนนั้นก็คือว่าไม่ดีนะคะ 2-3 แสน ณ ตอนนั้น เราก็ประชุมกันว่าอุปสรรคของเราคืออะไร ก็คือเราเตี้ย อายุก็เยอะแล้ว ตอนนั้น 24 คือถือว่าเยอะแล้วและเป็นลูกครึ่งที่ไม่สวย กี้ก็ยิ้มสู้ เราไม่ได้รู้สึกแย่นะคะ แต่เราเป็นคนทำงานหนึ่งคนที่รู้สึกว่าจะต้องแก้ปัญหายังไง ซึ่งในมุมทำงานของคนสมัยนั้นคือต้องกะเทาะข้อดีข้อเสียเพื่อจะหาสร้างอะไรก็ตามที่ห่อหุ้มตัวเรา เพื่อให้นอกเหนือจากการฟังเพลงแล้วเราจะได้มีภาพลักษณ์ ที่ถูกใจด้วยออกมาและก็ได้ออกมาเป็นตัวเราจริงๆ”

และเมื่อหาตัวตนของเราเจอแล้วทำเพลงชุดแรกออกมาเท่าไหร่ ?
นิโคล : “1 ล้านตลับ ภูมิใจไม่ได้ภูมิใจว่าเราแต่เหมือนทั้งทีมประสบความสำเร็จ ทุกคนมีรอยยิ้มแฮปปี้ พี่นิ่มเคยเตือนว่าระวังนะชีวิตมันจะเปลี่ยน และก็เปลี่ยนจริงๆ ค่ะ ตอนแรกไม่เข้าใจว่าพี่นิ่มหมายถึงอะไร เผอิญวันที่เขาปล่อยเพลงกะโปโล เขาปล่อยคืนวันสงกรานต์แล้วกี้อยู่พัทยา แล้วคือเล่นสาดน้ำอยู่แล้วมีคนเรียกเราว่านิโคล เพราะกี้ผมสั้นเพราะลุคเราตอนนั้นคือเหมือนใน MV เลย พอเขาเห็นแล้วดูแล้วคือกี้ แล้วเขาก็ฉีดน้ำใส่ มีแป้งมาตบใส่เรา ทั้งๆ ที่เมื่อวันก่อนไม่ได้มีใครมาเล่นแบบนี้เลย แล้วเราก็ตกใจว่าอะไร แล้วก็มีคนวิ่งตามเรียกชื่อเรา ตอนแรกก็ดีใจแต่ก็เริ่มกลัวเพราะเราวิ่งหนีเขาก็วิ่งตาม หลังจากนั้นคือเดินถนนไม่ได้อีกเลย”

เพราะความดังเลยไปโดนใจเสี่ยมาขอแต่งงานเลยตอนนั้น ?
นิโคล : “มีค่ะ เพราะตอนนั้นไม่มีผู้ชายมาจีบกี้เลยเพราะคิดว่าเราเป็นทอม เพราะเราผมสั้น แล้วจะมีจดหมายมาเป็นกระสอบเลยตอนนั้น แล้วจะมีอันหนึ่งหนาๆ หน่อย เป็นเสี่ยนี่แหละ เขียนจดหมายยาวมากขอแต่งงาน พร้อมที่จะให้บ้าน ที่ดิน เขาจะอยู่จังหวัดหนึ่ง พอเวลากี้ไปเขาจะมาให้รู้เลยว่าเขาคือคนที่ขอเราแต่งงาน ซื้อผลไม้ให้แม่ คือเขาเข้าทางแม่ไงคะ แม่ก็เริ่มเคลิ้ม กี้ก็แบบต้องเตือนแม่ ไม่ๆๆ นะ คนนี้ ไม่”

แต่เมื่อได้แต่งงานจริงๆ ชีวิตแต่งงานเป็นไปอย่างที่คิดหรือเปล่า ?
นิโคล : “เป็นค่ะ จนกี้ (พูดด้วยเสียงน้ำตาคลอ) มีทิกเกอร์ การแต่งงานก็เป็นอย่างที่คิด เพราะทิกเกอร์เขาเป็นส่วนที่มาเติมเต็มหัวใจเรา (นี่เป็นน้ำตาของความสุขเป็นอะไรที่ดีที่สุด) คือหลายๆ คนมักถามเราว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้อยากจะเปลี่ยนอะไรไหม เราไม่เคยมีความคิดนั้นแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าเราได้สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตมาก็คือลูก”

ในวันที่ตัดสินใจว่าจะเดินออกมา ตัดสินใจที่จะเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคนเดียว คิดหนักไหม ?
นิโคล : “คิดหนักค่ะ แต่เราก็พยายามเท่าที่ทำได้แล้ว มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกค่ะ เพราะว่าตอนนั้นเรามีสติ นึกถึงลูกเป็นหลัก ความรู้สึกของลูกสำคัญที่สุด ตัดความรู้สึกทั้งกี้และพ่อของเขาออกไปก่อนเลย ยิ่งตอนนี้ยิ่งรู้ว่าเราตัดสินใจถูกต้อง เพราะเราไม่ได้เป็นคู่ชีวิตของพี่แมว จริงๆ แหนวกับพี่แมวคือเนื้อคู่กัน ซึ่งเรากับพี่แมวตอนนี้เป็นเสมือนครอบครัวเดียวกัน ยังเป็นครอบครัวที่ดีต่อกัน”

ซึ่งบางคนอาจจะรู้สึกแปลกที่ทำไมกลับมาสมัครสมานสามัคคีกันได้ เราใช้เวลานานไหมกว่าจะมาเป็นเพื่อนกัน ?
นิโคล : “กี้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกตินะคะ เพราะเราไม่ได้ใช้เวลาที่จะเป็นเพื่อนกันเลย เพราะเราเป็นเพื่อนกันมาตลอด แม้แต่ต้องมาเซ็นใบถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากให้ไปถึงจุดนั้นอยู่แล้ว แต่ว่าทุกชีวิตมันไม่เหมือนกัน อันนี้เป็นทางออกแล้วตอนนั้นดีที่สุด แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ พี่แมวไปเจอเนื้อคู่ของเขาจริงๆ กี้ไม่ใช่เนื้อคู่ของพี่แมว แต่ฟ้าลิขิตมาให้เราใช้ชีวิตร่วมกันระยะหนึ่ง แล้วก็ได้มีลูก คือ ทิกเกอร์ นี่คือฟ้าลิขิตมา และขอบคุณมากๆ จำได้เลยวันที่ แจ๊สเปอร์ เกิด กี้กับทิกเกอร์คือตื่นเต้นมากแล้ว ทิกเกอร์ ได้อุ้มน้อง เราไม่เคยมีอะไรที่แบบบางคนจะคิดว่ามันมีอะไรหรือเปล่าไม่มีเลย แหนวเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากและดูแลพี่แมวดีมากและรักทิกเกอร์ เพราะฉะนั้นเป็นอะไรที่เราโชคดีที่มีครอบครัวที่ใหญ่ขึ้นและรักกัน”

นิโคล ร่ำไห้ในรายการขณะเปิดใจเรื่องความรัก

การเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมีความกลัวอะไรบ้าง ?
นิโคล : “กลัวที่จะเลี้ยงลูกยังไง เพราะว่ามัน ... น่ากลัวค่ะ เพราะเราเป็นศิลปินไม่รับงานหายไปเลย 5 ปี คนลืมกี้ไปแล้ว และเราต้องมาเริ่มใหม่ กลับกลายเป็นว่าลูกเป็นแรงบันดาลใจ เป็นพลังที่ขับเคลื่อนเรา ถ้าไม่มีลูกคงจะแย่ เพราะว่าเราไม่ได้รักตัวเองเท่ากับรักลูก การที่เราไม่ได้รักตัวเอง เราอาจจะปล่อยตัวเองให้เละเทะช่างมันเถอะ”

ซึ่งต้องย้อนกลับไปถามการเข้ามาเป็นศิลปินดังของ นิโคล ความรักที่เข้ามาตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง ?
นิโคล : “ก็ดีเป็นช่วงชีวิตที่ลักกี้อินเกม ลักกี้อินเลิฟเลยค่ะ ที่ถูกใจคนคนนี้เพราะเขาน่ารักเขาพูดคุยสนุกสนาน พูดภาษาอังกฤษและก็เฮฮา เวลาเราเครียดเรื่องงาน เวลาเจอเขา เราหายเครียดเพราะเขาเป็นคนอารมณ์ดี เขาไม่มีมุมเศร้าเลยใครอยู่ด้วยก็จะเคลิบเคลิ้ม”

มีคนเตือนไหมว่าเขาเจ้าชู้ ?
นิโคล : “ตอนก่อนเป็นแฟนไม่ได้เตือนค่ะ แต่พอเป็นแฟนแล้วเตือนเพียบเลย แต่เราก็ไม่เชื่อในสิ่งที่เขาเตือนกัน เพราะเราเชื่อเราจะทุกข์ เพราะกี้ไม่ได้เป็นคนเช็กโทรศัพท์ กี้จะถามเขาคำเดียวว่าเรื่องนี้จริงหรือเปล่า เพราะถ้าเขาพูดว่าจริงหรือไม่จริงเราจะไม่สืบไม่เชื่อคนอื่นเลย จนกระทั่งเราเห็นด้วยตาตัวเอง คือตอนนั้นเขาไม่ค่อยมาหาเราเพราะงานเขาเยอะ งานเราก็เยอะ โอเคเชื่อๆ แล้วมีอยู่วันเพื่อนรักพาไปกินซูชิที่ทองหล่อ ร้านก็จะเป็นกระจกใหญ่ๆ แล้วนั่งหันหน้าออกเราจะเห็นนอกร้าน ตอนนั้นเรากำลังจะทานแล้วเห็นเขาเดินผ่านมา แล้วเขาจับมือกับผู้หญิงคนหนึ่งผ่านหน้ามาเลย แต่เขาไม่เห็นเราเพราะเรานั่งอยู่ในร้าน จำได้ติดตาเลยเขาใส่เสื้อสีแดง แต่เราก็ไม่ได้ลุยตามไปเคลียร์นะคะ คือตอนนั้นช็อก ตัวชา หน้าชาแล้วกี้ก็โทรหาเขา เขาก็ไม่ยอมรับบอกไม่ใช่ ไม่จริง แต่เราก็ไม่เลิก แต่เราก็บอกเขาว่าเลิกเถอะ ปล่อยเราไปเถอะเราจะได้เดินต่อได้”

แต่ก็มีความรักครั้งหนึ่งที่ทำให้อกหักจนถึงขั้นปางตาย ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น ?
นิโคล : “ตอนนั้นคือจะนั่งก็นั่งไม่ได้ จะนอนก็นอนไม่ได้ จะยืนก็ไม่รู้ว่าจะหันไปทางไหนแบบนี้จริงๆ นะคะ แบบบ้านหมุน มันเคว้งคว้างมาก แล้วมีอยู่วันหนึ่งตอนนั้นช่วงคอนเสิร์ต Seven ด้วยนะคะ เผอิญ พี่ใหม่ เจริญปุระ ก็พักอยู่ชั้นบนที่คอนโดเดียวกันกับเรา กี้ก็แบบว่าใครตอนนั้นเราร้องไห้อยู่นะ (พอได้ยินเสียงเคาะประตู ทุกครั้งคิดคือเขา) เพราะเรามีความหวังถ้าเป็นเขาจะดีใจที่สุด”

ถึงแม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้ซื่อสัตย์ แต่เพราะความรักเลยทำให้เรามีความหวัง ในการเคาะประตูทุกครั้งคิดว่าเขาจะกลับมา ?
นิโคล : “พี่ฉอดพูดคำนี้ กี้จะร้องไห้ ... ใช่ค่ะ คิดว่าอาจจะเป็นเขา แต่มันกลายเป็นพี่ใหม่เจริญ ปุระ พอเราเห็นพี่ใหม่ เราก็มีพลังขึ้นเพราะพี่ใหม่เขาเป็นคนมีพลังเยอะ เพราะตอนนั้นคือกี้ทานข้าวไม่ได้เลย แล้วผอมเป็นก้าง ผอมมาก แล้วพี่ใหม่ เขาก็ทำซุปทำอะไรมาให้เรา จัดใส่ถาดมาวางด้วยดอกไม้สวยเลยแล้วถือมา นิโคลๆ พี่ใหม่ทำซุปมาให้ทาน ทานเยอะๆ นะ (พี่ใหม่เขาก็เป็นห่วงเราที่เห็นเราทานอะไรไม่ได้เลยมาดูแลเรา) ซึ่งดีมากทำให้เราหายเศร้า แต่พี่ใหม่อยู่ๆ ร้องไห้เองแบบจริงจังเลย แล้วบอกเราว่า ‘เธอ ฉันอยากได้ห้องแบบนี้’ ประมาณว่าพี่ใหม่เขาทำบ้านนานมากเลยแล้วพี่ไม่ได้แบบนี้ เรากลายเป็นปลอบพี่ใหม่ จริงๆ แล้วมันดี เพราะทำให้เราลืมความทุกข์ของเรา เพราะได้พี่ใหม่มาดูแล”

เมื่อเราเห็นทุกอย่างชัดเจนแล้วทำไมต้องรอ ?
นิโคล : “เพราะคิดว่าอย่างน้อยสิ่งที่เขาควรจะทำก็ต้องกล้าหน่อย เราไม่ได้จะรั้งไว้ แต่ขอให้เกียรติเรานิดในการบอกเลิก (กี้ คิดว่าการบอกเลิกเป็นการให้เกียรติ) เพราะดีกว่าปล่อยให้เราอยู่ไปอย่างนั้น กี้สอนลูกเลยนะคะว่าเวลาเราจะคบกับใคร เราคบได้ เราขอเป็นแฟนได้ แต่ถ้าสมมติว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาแล้วเราไปต่อกับเขาไม่ได้ มันคือชีวิต มันไม่ได้มีอะไรมาการันตีว่าเราจะอยู่ด้วยได้ไปตลอดชีวิต แต่ว่าวิธีการเลิกคือสิ่งสำคัญ ถ้าเลิกกันดีๆ พูดกันดีๆ ถ้าเริ่มได้ก็จบได้ แต่ถ้าจบมันต้องรู้มันต้องบอกกัน”

ในความรักครั้งนั้น คือแอบหวังไหม ?
นิโคล : “แอบหวังค่ะ คือมีช่วงหนึ่งที่ต้องบอกตรงๆ ว่า ตอนนั้นกี้อยู่ไม่ได้แล้ว อยู่ไม่เป็น กี้ซึมเศร้าแล้ว (ถ้าวันนั้นเขาเดินกลับมาเราก็โอเคที่จะไปต่อนะคะ) แต่ถ้าเป็นวันนี้ ไม่แล้วค่ะ วันนี้แข็งแรง วันนี้รู้แล้วว่าอะไรที่จะทำให้เราเจ็บในวันข้างหน้าว่าเราควรเจ็บแล้วจำ แต่ว่าตอนนั้นเรายังไม่พร้อมจริงๆ แล้วเรายังโตไม่พอ แล้วเรายังอยู่ในช่วงชีวิตที่ผิดเพี้ยนไปจากความจริง มีชื่อเสียง ก็ผิดเพี้ยนไปจากความจริง พออะไรมันดีก็ดี๊ดี อะไรที่แย่ก็แย่เลย ความรักก็เยอะมันเป็นอะไรที่เรายังไม่โตพอ แล้วเรื่องมันเยอะไปที่เราจะรับมันได้ ตอนนั้นเราสูญเสียหลายอย่าง ออกอัลบั้มชุดที่ 3 ก็คือแป้ก แล้วโปรโมทเตอร์เสียชีวิต แฟนทิ้งอีก แล้วโดนผู้จัดการโกงเงินไปอีกไม่รู้กี่ล้าน ซึ่งทุกคนเป็นคนที่เรารักที่เราไว้ใจมาก กี้ จัดแจงตัวเองไม่เป็นเลยตอนนั้น”

น้องทิกเกอร์ กำลังใจสำคัญของ นิโคล

แล้วสุดท้ายเรากลับมาเป็นคนเดิมได้ยังไง ?
นิโคล : “กี้เหนื่อยแล้ว กี้หิวคือมันไม่ได้ทานข้าว มันเหนื่อยเอง เหนื่อยกับการเจ็บ เบื่อตัวเองรำคาญตัวเองด้วยค่ะ แล้วมีอยู่วันหนึ่งเราลุกขึ้นเอง เจ็บที่สุดหยุดได้เองค่ะ เขาก็ไม่ได้มารับรู้สิ่งที่เราเป็น ชีวิตเราต้องดำเนินต่อ แล้วเรายังมีพ่อแม่ที่เราต้องดู แล้วเรามาเป็นแบบนี้เพื่ออะไร นี่เราเสียเวลามามากแล้ว เป็นเดือนๆเลยงานก็ไม่ดี หน้าก็แย่ โทรม เหมือนเราตัดเลยตอนนั้น แล้วเจอเขาทุกวันนี้ ไม่มีความโกรธเลย เรานึกย้อนกลับไปวันนั้น ทำไมเราต้องเป็นอะไรขนาดนั้นด้วย”

เห็นว่าเมื่อมีช่วงเวลาแห่งความรักบ้างมีช่วงเศร้าๆ แต่ก็ได้ลูกชายเข้ามาเป็นกำลังใจ ปลอบใจอยู่เสมอ ?
ทิกเกอร์ : “ก็ไม่ได้เข้าไปเลย แต่เราจะใช้ระยะห่างนิดหน่อย จะได้มีเวลานิดนึงแล้วอีกสักพักเราค่อยเข้าไปคุยกันเรื่องปัญหา”

นิโคล : “ส่วนมากทิกเกอร์เขาจะเป็นคนที่เริ่มคุยก่อน เขาจะเข้ามาในห้องเพราะเราจะแอบอยู่คนเดียวในห้อง ซึ่งเราก็เล่าความจริงให้เขาฟังทั้งหมด เพราะเขาอยากรู้เราก็ต้องบอก แต่พยายามไม่ร้องไห้ให้เขาเห็นแต่ก็ร้องอยู่ดีเพราะเรามีอยู่แค่นี้ แค่ลูกถามว่ายูโอเคแค่นี้ ก็น้ำตาไหลแล้ว”

แล้วทิกเกอร์เข้าใจความสัมพันธ์ของคุณพ่อคุณแม่ยังไงบ้าง ?
ทิกเกอร์ : “ผมคิดว่าการที่เป็นพ่อแม่ต้องมาก่อนปัญหา ก็ดีครับได้มีครอบครัวใหญ่ๆ”

นิโคล : “เราจะเจอกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่หลักๆ เลยคือปีใหม่ คริสมาสต์ หรือถ้าพี่แมวเหงาก็พาแจ๊สเปอร์มา ซึ่งทิกเกอร์ กับ แจ๊สเปอร์ คือเป็นคนละแบบ เพราะแจ๊สเปอร์จะพูดเก่งมา จนทิกเกอร์เขาน่าจะเป็น ceo ได้เลย ซึ่งเขาเป็นคนตั้งชื่อให้กับน้อง”

ทิกเกอร์ : “เพราะผมเห็นว่าพ่อชอบ แจ๊ส ครับ ตอนแรกคุณพ่อจะตั้งชื่อน้องว่า แคสเปอร์ ก่อนแต่เราคิดถึงคำว่า แจ๊ส เลยบอกว่า ใส่คำนี้เข้าไปผสมด้วยดีกว่า เลยได้ชื่อออกมาคือ แจ๊สเปอร์ ครับ”

ทิกเกอร์อยากทำงานในวงการด้านไหนไหม ?
ทิกเกอร์ : “อยากร้องเพลงครับ ตอนแรกไม่ค่อยชอบกีตาร์แต่สุดท้ายคือก็ชอบ (หัวเราะ) แล้วก็ชอบตีกลอง”

นิโคล : “ทิกเกอร์เขาเป็นคนทำอะไรคือจริงจังมาก เรายังไม่ได้ครึ่งของเขาเลย แต่เราก็คอยสนับสนุนสิ่งที่เขาชอบที่เขาต้องใช้ ส่วนเรื่องการแสดงแอบฝากพี่ฉอดเลยค่ะ”

ทิกเกอร์ : “ส่วนมากหลักๆ ตอนนี้คืออยากโฟกัสดนตรีกับเพลงครับ การแสดงแอคติ้งก็สนใจบ้าง”

แล้วเคยได้ยินเพลงที่คุณแม่ร้องไหม ชอบเพลงไหนของคุณแม่เป็นพิเศษ ?
ทิกเกอร์ : “เปรี้ยวใจครับ”

นิโคล : “ตอนนั้นที่เราขึ้นคอนเสิร์ต ทิกเกอร์จะเตรียมดอกไม้ตุ๊กตาเอามาให้ข้างเวที เราจะแฮปปี้ที่สุด เหมือนเขาโตมากับคอนเสิร์ต โตมากับเสียงเพลงน่าจะซึมซับพอสมควร ตอนนี้เขาก็เซ็นสัญญาการเป็นศิลปินแล้วอยู่ในระหว่างทาง อีกไม่นานน่าจะได้เห็นผลงานของเขาค่ะ ตอนนี้อยู่ในช่วงฝึกหัดค่ะ พอเราเห็นเขาฝึกขนาดนี้เรายืนมองดูเขาฝึกก็ร้องไห้ ร้องไห้เก่งมากเพราะเราปลื้มในตัวเขา แล้ววันที่เขาเซ็นสัญญา คือเป็นสัญญาที่เราเซ็นเมื่อตอนที่เราเข้ามาเป็นศิลปิน ซึ่งตอนนี้เป็นชื่อเขา อชิระ เทริโอ แต่เขายังไม่ 18 ก็ต้องมี นิโคล เทริโอ อยู่ข้างล่าง เราไม่นึกไม่ฝันว่าจะเป็นสัญญาอันนั้นที่เราเซ็นเมื่อ 20 ที่แล้ว ดีใจมากที่เขาได้เข้ามาอยู่ในบ้านของเราที่ทำให้เรามีทุกอย่างในวันนี้ กี้รู้เลยว่าเขาจะปลอดภัยที่นี่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม กี้หมดห่วงจริงๆ”

อัลบั้มภาพ 16 ภาพ

อัลบั้มภาพ 16 ภาพ ของ "นิโคล" เปิดใจเล่าทั้งน้ำตา ความรักที่ทำให้อกหักจนปางตาย เป็นรักแท้ที่เจ็บที่สุด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook